ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ยักษ์ ท่านเจ้าคุณศรี ( สนธิ์ ) วัดสุทัศน์ ฐานผ้าทิพย์ ปี ๒๔๙๐ พิมพ์นิยม
ท่านเจ้าคุณศรี ( สนธฺิ์ ) ท่านได้สร้างยักษ์ท่านได้สร้างยักษ์ออกมาสามวาระด้วยกันคือ ปี ๙๐-๙๒ และมีสามแบบพิมพ์
ตำราหลายเล่มบอกสร้าง ปี ๙๒ ก็แล้วแต่วิจารญาณในการเสพข้อมูล ด้วยความเคารพซึ้งกันและกันเพราะทุกข้อมูลคือแหล่งความรู้ และทำไมผมถึงยืนยันว่า พิมพ์ฐานผ้าทิพย์สร้าง ปี ๙๐ ไปอ่านเหตุผลข้างล่างกัน
๑.ฐานผ้าทิพย์ ปี ๙๐
๒.ฐานบัวเม็ด ปี ๙๑
๓.หน้าคน ปี ๙๒
องค์นี้เป็นพิมพ์ที่๑ นิยมสุด สวยสุดๆ ทำน้อย สร้างน้อย หาสวยน้อย หายากสุดๆ โดยเฉพาะ องค์ที่สวยสุดยอดเยี่ยงนี้ ลงโชร์เพื่อเป็นความรู้กันครับ
ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เรียกง่าย ๆ ว่า " นายผี " เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักขะ และท้าวเวสสุวรรณ ( ท้าวกุเวร ) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ ( ท้าวกุเวร ) เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท่านท้าวเวสสุวรรณดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่กว่าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 กล่าวคือเป็นหัวหน้าท้าวมหาราชองค์อื่นๆนั่นเอง
ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของชาวโลกโบราณ ศาสนสถานสำคัญต่างๆมากมายทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ภูติผีปีศาจทั้งปวง
ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญพรตตบะบารมีธรรมมาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย นอกจากนี้หน้าที่ของท่านท้าวเวสสุวรรณนั้นมีมากมาย เช่น
๑.การดูแลรักษาทรัพย์สมบัติของชาวโลกโบราณ และขุมทรัพย์ที่ซ่อนเร้น
๒.ดูแลปกป้องคุ้มครองศาสนสถานสำคัญต่างๆ
๓.ดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาและปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐานปฏิบัติพระธรรม
๔.ดูแลเป็นเจ้านายปกครองพวกยักษ์ภูติผีปีศาจทั้งหลายทั้งปวงให้อยู่ในกฎในระเบียบ เป็นต้น
ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา เสริมดวงชะตาและรอดพ้นจากผีร้ายวิญญาณอุบาทว์จังไร ให้ท่านผู้นั้นบูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวรเป็นหลัก
กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์ และคุยหกะ ( ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์ ) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน ( เวสสุวรรณ ) ภาษาทมิฬ เรียก กุเวร ว่า กุเปรัน ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของ ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบก ของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ ผิวขาว มีฟัน ๘ ซี่ และมีขาสามขา ( ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา ) เมืองท้าวกุเวร ชื่อ อลกาอยู่ บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า สวนไจตรต หรือ มนทร มีพวกกินนร และคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาล ประจำทิศเหนือ
ท้าวกุเวรนี้ สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ ๑ สระ ชื่อ ธรณี กว้าง ๕๐ โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑป ชื่อ ภคลวดี กว้างใหญ่ ๑๒ โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถาน ของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก ๑๐ แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์ เป็นเสนาบดี ๓๒ ตน ยักษ์รักษาพระนคร ๑๒ ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ ๑๒ ตน ยักษ์ที่เป็นทาส ๙ ตน
นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง ๒ คาวุต ประมาณ ๒๐๐ เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์เจ้าแห่งทรัพย์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้ว ประพาฬ หอกทอง เป็นต้น
รูปหล่อเทแบบโบราณท้าวเวสสุวรรณที่สร้างโดยท่านเจ้าคุณศรีฯ ( สนธิ์ ) แห่งวัดสุทัศน์ฯ
ในกระบวนการพระหล่อพระเทแบบโบราณ ที่ขึ้นชื่อและเป็นที่ปรารถนาต้องการของบรรดานักสะสมพระเครื่องทุกยุคทุกสมัย ก็คงหนีไม่พ้นพระหล่อโบราณของสำนักวัดสุทัศน์ ด้วยนิยมในพิธีกรรมอันเป็นเลิศเคร่งรัดในฤกษ์ผานาที ตลอดจน การกระแสโลหะอันงดงาม แต่ราคาพระกริ่งพระชัยสำนักวัดสุทัศน์ที่สร้างโดยสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) ล้วนมีราคาที่แพงมากๆ ระดับราคาตั้งแต่หลายๆแสนกระทั่งถึงหลายๆล้านจนเกินเอี่อมสำหรับบุคคลธรรมดาทั่วๆไปจนหลายคนจรดไม่ลง กระนั้นสำนักแห่งนี้ก็ยังมีของดีเป็นของเก่าสร้างในสมัย ท่านเจ้าคุณศรีฯ ( สนธิ์ ) ให้เล่นหาสะสม บูชาคุ้มครองตัวอีกมากมายหลายอย่าง พระเหล่านี้สร้างที่ วัดสุทัศน์ด้วย มีเชื้อชนวนมวลสารพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ของเก่าที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) ท่านสร้างพระกริ่งพระชัยวัฒน์ในยุคต้นๆ หนึ่งในนั้นที่จะนำมากล่าวถึง คือ ท้าวเวสสุวรรณ(ท้าวกุเวร)หรือที่เรียกกันสันๆว่ายักษ์วัดสุทัศน์นั่นเอง
มีการจัดสร้างสามครั้งสามวาระสามแบบพิมพ์คือ
๑.พิมพ์ฐานผ้าทิพย์ ( นิยม๑ ) จัดสร้างในปี พ.ศ.๒๔๙๐ จำนวนน้อยมากๆไม่น่าจะเกินสองร้อยองค์"ความคิดเห็นส่วนตัว"( บางตำราบอกสร้างไม่ถึง ๑๐๐องค์ ) มีราคาหลักแสนขึ้นคือแสน สองแสนขึ้นไปจนถึงหก,เจ็ดแสน แล้วแต่สภาพความสวย คม สมบูรณ์ ( ราคาปัจจุบันเดือน ๘ ปีพ.ศ.๒๕๕๘ ) เหตุที่แพงมากๆเพราะ ประสบการณ์มากเข้าถึงขั้นสุดยอด ( บางคนถึงกับบอกมีตัวตนสัมผัสได้ ) สร้างน้อย แบบพิมพ์สวย และถือเป็นรุ่นแรก
๒.พิมพ์ฐานบัวเม็ดหรือฐานใข่ปลาจัดสร้างในปี พ.ศ.๒๔๙๑ จำนานหลักพันองค์ไม่น่าจะเกินสองหรือสามพันองค์"ความคิดเห็นส่วนตัว" ( บางตำราบอกสร้างหลัก ๑๐๐องค์ ) แต่ก็ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน มีราคาหลักแสนขึ้น อยู่ที่สภาพและความสวยสมบูรณ์ ( ราคาปัจจุบันเดือน ๘ ปีพ.ศ.๒๕๕๘ )
๓.พิมพ์หน้ามนุษย์หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าพิมพ์หน้าคนจัดสร้างในปี พ.ศ.๒๔๙๒ จำนวนมากขึ้นมาหน่อยเพราะพบเห็นมากกว่าแต่ก็ไม่น่าจะเกินห้าหรือหกพันองค์"ความคิดเห็นส่วนตัว" แต่ก็ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เพราะไม่มีหลักฐานเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่คำนวนจากการเล่นหาผ่านมือและการพูดถึงของเซียนพระ และนักเล่นพระรุ่นเก่าๆท่านพูดกันไว้ว่า ยักษ์ท่านเจ้าคุณศรีฯ สร้างถึงสามวาระแต่จำนวนน้อยเหลือเกินไม่เพียงพอต่อความต้องการของ ( ลูกค้า ) คนที่ศรัทธาท่านที่จะนำมาปกป้องคุ้มครองตัว
"ส่วนพิมพ์ที่สามนี้มีราคาหลักหมื่นปลายๆ ( ราคาปัจจุบันเดือน ๘ ปีพ.ศ.๒๕๕๘ )
เหตุผลที่มีการจัดสร้างครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๔๙๐เพราะ…ตำราหลายเล่มบอกสร้างปี ๙๒ ก็แล้วแต่วิจารญาณในการเสพข้อมูล ด้วยความเคารพซึ้งกันและกันเพราะทุกข้อมูลคือแหล่งความรู้ เรามาพูดกันต่อว่าเหตุผลที่มีการจัดสร้างครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๔๙๐ เพราะ...
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านเจ้าคุณศรีฯได้กลับไปที่จังหวัดสระบุรี และได้เริ่มลงมือสร้างพระอุโบสถวัดศรีจอมทอง ( วัดตีนโนน ) ตำบลห้วยป่าหวาย กิ่งอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี อันเป็นชาติภูมิ ( บ้านเกิด ) ของท่านได้กระทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันศุกร์ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๓๐๙ ตรงกับวันที่ ๒พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ และได้ลงมือปลูกสร้าง แต่ในระหว่างปลูกสร้างนั้น เหล่าบรรดาช่างและชาวบ้านที่มาช่วยงาน ต่างโดน วิญญาณ ภูติผี คอยหลอกหลอนไม่เว้นแต่ละวันจนไม่เป็นอันทำงาน และการสร้างพระอุโบสถก็ดูท่าว่าจะไม่เสร็จเป็นแน่ เพราะชาวบ้านและเหล่าช่างที่มาช่วยงานไม่กล้ามาทำการก่อสร้างกันอีก จึงเป็นเหตุให้ท่านเจ้าคุณศรีฯต้องกลับมาที่วัดสุทัศฯเพื่อมาทำการเทหล่อ ยักษ์ชุดนี้ ( พิมพ์๑ ) เพื่อไปแจกจ่ายเหล่าบรรดาชาวบ้านและช่างที่มาช่วยงาน และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มี วิญญาณ และพวกภูติผี ออกมาหลอกหลอนอีกเลย และเมี่อเกิดประสบการณ์เหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่ตามไปจากกรุงเทพฯ ไม่ได้พระชุดนี้เพราะสร้างน้อยและ ( ไม่มีใครสนใจเพราะไม่ใช่พระกริ่งเหตุเพราะเหล่าลูกศิษย์มีความเชื่อว่าวัดสุทัศน์ต้องพระกริ่งเท่านั้น ) และอีกหนึ่งสาเหตุคือท่านทำเป็นการเฉพาะกิจคือท่านตั้งใจทำแจกแค่เหล่าบรรดาชาวบ้านและช่างที่มาช่วยงานก่อสร้างวัดเท่านั้นศิษย์ที่ตามไปจากกรุงเทพฯจึงไม่ได้กัน พอมีเหตุการที่น่าอัศจรรย์และเกิดประสบการณ์เหล่าศิษย์ที่กรุงเทพฯไม่ได้กันไปจึงอ่อนวอนรบเล้าให้ท่านสร้างอีกเป็นเหตุให้ท่านทนความรบเล้าจากพวกลูกศิษย์ไม่ไหว จึงลงมือสร้างครั้งที่๒เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๑ เพื่อแจกจ่ายกับพวกลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้รับ และก็เป็นแบบเดิมๆอีกเพราะท่านสร้างจำนานน้อย แต่ลูกศิษย์ท่านมากก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของศิษย์ จึงเป็นเหตุให้ท่านสร้างขึ้นมาอีกหนึ่งวาระในปี พ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งเป็นการสร้างยักษ์รุ่นสุดท้ายของท่าน
ท่านเจ้าคุณศรีฯ ( สนธิ์ ) เป็นศิษย์พระปรมาจารย์สองสำนัก คือ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ บุญ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม และสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) วัดสุทัศน์ ท่านเป็นชาวอำเภอ พระพุทธบาท จ.สระบุรี ชาตะเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ เมื่ออายุได้ ๑๑ ขวบ โยมมารดาของท่านได้พามาฝากอยู่ที่คณะ ๑๕ วัดสุทัศน์ พ.ศ. ๒๔๕๘ อายุ ๑๓ ปี บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสุทัศน์นั่นเอง ปีต่อมาได้เดินทางไปอยู่กับหลวงปู่บุญ ที่วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม อยู่ได้ปีเดียว และได้รับการสอนสั่งจากหลวงปู่บุญอย่าง เคร่งครัด ก็ลากลับวัดสุทัศน์ด้วยความอาลัยยิ่งของหลวงปู่บุญ พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้อุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดสุทัศน์ โดยมีสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) เป็นพระอุปัชฌาย์และจำพรรษา ณ วัดสุทัศน์ เรื่อยมา โดยเป็นศิษย์ก้นกุฏิในท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) ทำงานแทนท่านทุกอย่างตามที่ได้รับพระบัญชาด้วยความเรียบร้อยและถูกพระทัยเป็น อย่างมาก น่าเสียดายว่าท่านเจ้าคุณศรีฯ ( สนธิ์ ) ถึงแก่มรณภาพเมื่ออายุได้เพียง ๔๙ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ ด้วยอาการเจ็บป่วยอันเนื่องจากการตรากตรำทำงานหนักของท่าน ก่อนมรณภาพไม่นาน ท่านพูดเป็นนัยๆว่าเอ้า ใครจะเอาอะไรก็รีบขอซะนะ ฉันป่วยคราวนี้คง อยู่ได้ไม่นาน เพราะร่างกายมันกระเสาะกระแสะเต็มที แล้วท่านก็จากไปตามที่ท่านได้พูด ทิ้งท้ายไว้ ดังคำที่คนเก่าแก่ได้พูดไว้ว่าพระสงค์องค์ใดที่สำเหร็จแล้วจะรู้วันละสังขารของตัวท่านเอง.
เป็นความรู้ที่ควรค่าต่อการศึกษาและจดจำครับอนุวัต บูรณสัจจะ ( วัต ท่าพระจันทร์ )
คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร ( บูชาประจำวัน )
ตั้ง นะโม ๓ จบ ( จุดธูป ๙ ดอก )
อิติปิโสภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ
มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต
เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโมพุทธายะ
|