พระบูชา ศิลปลพบุรี(ขอมแบบบายน) ปางสมาธิ เนื้อทองสัมฤทธิ์ องค์นี้สวยสมบูรณ์ ธรรมชาติความเก่ามีให้เห็นทั่วไปที่ทราบว่าเป็นเนื้อทองสัมฤทธิ์เพราะมีสนิมหยก (สนิมสีเขียว)ขึ้นตามซอกและใต้ฐานพระ เกิดกับเนื้อสัมฤทธิ์ที่มีอายุหลายร้อยปีเป็นหลัก พุทธลักษณะเหมือน "พระพุทธมหาธรรมราชา" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จ.เพชรบูรณ์ แต่ขนาดเล็กกว่าโดยเฉพาะพระหัตถ์ขวาที่ซ้อนพระหัตถ์ซ้าย พระดัชนี(นิ้ว) จะกระดกขึ้นช้อนสิ่งของที่ถืออยู่ที่ฝ่าพระหัตถ์(ฝ่ามือ) ซึ่งแกะสลักเป็นรูปหม้อยาหรือหม้อน้ำมนต์อยู่บนพรัหัตถ์ มีพระพักตร์กว้าง พระโอษฐ์(ปาก)แบะ พระกรรณ(หู) ยาวจรดพระอังสา (ไหล่) พระเศียร (ศรีษะ) ทรงเทริด มีสร้อยพระศอ(คอ) มีรัดประคดคาดเอวแลดูเข้มขังยิ่งนัก ขนาดหน้าตัก 2.5 นิ้ว สูง 3 นิ้ว ไม่มีฐาน หาได้ยากยิ่งนัก พร้อมบัตรรับรองพระแท้จาก SK.Check
พระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุของชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 118 ตอนที่พิเศษ 29 ง วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2544 เป็นพระพุทธรูปที่ชาวเพชรบูรณ์ อันเชิญไปประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำเป็นประจำทุกปี ในวันสารทไทย แรม 15 ค่ำ เดือน 10
พระพุทธมหาธรรมราชา พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเพชรบูรณ์ ประดิษฐานอยู่บนศาลาวัดไตรภูมิ ต.ในเมือง อ.เมืองเพชรบูรณ์ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิศิลปะลพบุรี (ขอมแบบบายน)เนื้อทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 13 นิ้ว สูง 18 นิ้ว ไม่มีฐาน มีพระพักตร์กว้าง พระโอษแบะ พระกรรณ ยาวจรดพระอังสา พระเศียรทรงเทริด ปลายยอดจุลมงกุฎเป็นทรงชฎา มีหม้อยาหรือหม้อน้ำมนต์อยู่บนพระหัตถ์ทรงสร้อยพระศอ พาหุรัดและประคดมีลวดลายงดงามและดูเข้มขลังยื่งนัก
ชาวเพชรชบูรณ์มีความเชื่อตามตำนานว่าพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองลาด (อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์) ได้รับพระราชทานพระพุทธรูปองค์นี้จากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ขอมแห่งเมืองพระนคร โดยให้นำมาประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองร่วมกับพระขรรชัยศรี และพระนาม" กมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์" พร้อมทั้งให้ทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดา คือพระนางสิขรมหาเทวี แต่หลังจาก พ่อขุนผาเมืองร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง(อ.นครไทย จ.พิษณุโลก) ได้ร่วมกันตีเมืองสุโขทัย คืนจากขอม กอบกู้อิสรภาพให้กับคนไทยและตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้น ทำให้พระนางสิขรมหาเทวี แค้นเคืองถึงกับเผาเมืองลาด จนย่อยยับ ไพร่พลต้องพากันอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา ลงแพล่องไปตามแม่น้ำป่าสัก เพื่อหลบหนีภัยความวุ่นวายไปแต่ปรากฎว่าแม่น้ำป่าสักมีความคดเคี้ยวและกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ทำให้แพที่อัญเชิญองค์พระมานั้นแตกจนองค์พระจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำหายไป กระทั่งต่อมา คนหาปลาชาวเพชรบูรณ์ ได้ไปพบและเกิดเป็นตำนานมหัศจรรย์ประเพณีอุ้มพระดำน้ำขึ้นมา
ตำนานเล่าว่าเมื่อเวลาผ่านไป จนถึงช่วงกลางกรุงศรีอยุธยา คนหาปลาชาวเพชรบูรณ์ที่พากันไปหาปลาในแม่น้ำป่าสักบริเวณ "วังมะขามแฟบ" พลันอากาศที่สงบเงียบ อยู่ดีๆกลับแปรปรวนมีลมฟ้าลมฝน ฟ้าร้องฟ้าผ่า แล้วเกิดมีวังน้ำวนขึ้นในลำน้ำหมุนวนเอาพระพุทธรูปสีทองอร่ามขึ้นมา จึงได้โดดน้ำไปอัญเชิญพระพุทธรูปทององค์นี้มามอบให้กับเจ้าเมืองเพชรบูรณ์และอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดไตรภูมิ ครั้นในปีถัดมาเมื่อวันสารทไทยแรม 15 ค่ำ เดือน 10 องค์พระได้หายไปจากวัด ชาวบ้านต่างพากันช่วยหาไปทั่วทั่้งเมืองแต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเลย จึงพากันไปยังวังมะขามแฟบ ก็ได้พบองค์พระดำผุดดำว่ายอญุ่กลางลำน้ำอีกเช่นเดิม ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญองค์พระกลับมาวัดไตรภูมิอีกครั้ง เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ถึง 2 ครั้ง จนกระทั่งสุดท้ายชาวเมืองและเจ้าเมืองจึงได้ร่วมตกลงกันว่าทุกวันสารทไทยแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปีเจ้าเมืองเพชรบูรณ์จะได้อัญเชิญองค์พระไปดำน้ำที่วังมะขามแฟบพร้อมทั้งร่วมกันขนามนามองค์พระศักดิ์สิทธิ์ว่า"พระพุทธมหาธรรมราชา" เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์แต่นั้นมา
อนึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นกษัตริย์ขอมที่นับถือศาสนาพุทธได้โปรดให้สร้างพระพุทธรูปลักษณะเช่นเดียวกันกับพระพุทธมหาธรรมราชาขึ้นมาหลายองค์ ซึ่งได้โปรดให้เป็นพระพุทธรูปประธาน ประดิษบานไว้ในอโลคยาศาลา (โรงพยาบาล) ที่สร้างไว้ตามรายทางเป็นระยะของราชมัคา ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมระหว่างนครทมมายังพิมาย โดยมีชื่อว่า " พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา" ซึ่งบนพระหัตถ์จะมี "หม้อยาหรือหม้อน้ำมนต์" ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นถึงการรักษาโรคของผู้คนในสมัยนั้น เมื่อรักษาทั้งทางกายจากหมอน้ำมัน ,หมอนวด , หมอสมุนไพร แล้วยังต้องรักษาทางจิตใจด้วย โดยการกราบไหว้ และขอรับน้ำมนต์จากพระพุทธรูปไปดื่มกิน ไปอาบที่บ้าน พระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้ จึงได้รับการนับถือเปรียบเสมือน "หมอยา" หรือ "เภสัช" ในปัจจุบันนั่นเอง
พระพุทธมหาธรรมราชา จึงมีพุทธคุณทางการป้องกันรักษาโรคภัยไข้เจ็บ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและการแคล้วคลาดปราศจากเภทภัยอันตรายใดๆทั้งปวง
คาถาบูชา พรพพุทธมหาธรรมราชา" พุทธ มะ หา ธัม มะ ราชา เภชะ อุระ มหิทธิกา สัพเพเต อนุรักขันตุ อโรคะเยนะ สุเขนะจะ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสถิเม โหตุ สัพพะทา "
พระไภษัชคุรุ หรือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเป็นหนึ่งในพระพุทธเจ้า ตามความเชื่อในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน นิกายวัชรยาน พรือพุทธตันตระ ซึ่งมีผู้นิยมนับถือกันมากที่สุดองค์หนึ่งในประเทศจีน ลัทธิเบต โดยนับถือกันว่า ทรงเป็น " พระพุทธเจ้าแพทย์ (หมอยา) "เนื่องจากเมื่อพระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงตั้งปณิธานว่าเมื่อพระองค์ทรงบรรลุพระโพธิญาณแล้ว เหล่าสัตว์ที่ทนทุกข์ทรมาณด้วยโรคภัยใดๆ หากได้ยินพระนามของพระองค์จะพ้นจากโรคภัยทั้งหลาย มีร่างกายสมบูรณ์ ประกอบด้วยสติปัญญามีทรัพย์มหาศาลและจะบรรลุโพธิญาณในที่สุด เชื่อกันว่าผู้เจ็บป่วยด้วยโรคทางกายและทางใจสามาร๔พ้นจากโรคภัยได้ด้วยการถวายเครื่องบูชาแด่พระปฏิมาไภษัชยคุรุ การสวดพระธารณีหรือมนต์ประจำพระองค์การออกพระนามและการตั้งจิตรำลึกแน่างแน่ในพระนามของพระองค์ คาถามีว่า "
" นะโม ภคเต ไภษัชยะ คุรุไวฑูรยะ ประภา ราชายะ ตะ ถาคะตายะ อรหะเต สัมยัก สัมพุทธายะ ตัทยถา โอม ไภษัชเย ไภษัชเย มหาไภษัชเย ราชา สมุทคะเต สะวาหา "
(ขอขอบคุณบทความจาก ดร.วิศัลย์ โฆษิตานนท์ อดีดนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ )
|