พระพิฆเนศหินจุยเจียแกะ

"จุยเจีย" หรือ "หินเขี้ยวหนุมาน" เป็นรัตนชาติที่มีพลัง อานุภาพ ความศักดิ์สิทธิ์ที่สะสมมาแต่ช้านาน สามารถรับและกักเก็บพลังอานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ได้มากเมื่อเทียบกับวัตถุชนิดอื่นๆแม้กระทั้งโลหะธาตุบริสุทธิ์ เช่น ทองคำ และตะกั่ว ทั้งในทางตรงข้าม แก้วจุยเจียสามารถเปล่ง พลังอานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้อย่างมากมาย

จุยเจีย เป็นชื่อในภาษาจีน มีความหมายว่า หินที่ใสเหมือนน้ำ และเป็นภาษากรีก มาจากรากศัพท์ที่แปลว่า น้ำแข็ง ซึ่งอาจจะมีความหมายจากความใส ก็เป็นได้เช่นกัน

ชาวไทยเรียกว่า "หินเขี้ยวหนุมาน" เพราะในประเทศไทยพบเพียงผลึกขนาดเล็ก ซึ่งมีลักษณะคล้ายเขี้ยวเพชรของหนุมานตามวรรณคดี จึงเรียกว่าหินเขี้ยวหนุมาน แทบไม่พบผลึกขนาดใหญ่ในประเทศไทย ส่วนมากที่เป็นผลึกใหญ่จะนำมาจากประเทศอื่น 

ในภาษากรีกจะเรียกหินชนิดนี้ว่า Rock Crystal หมายถึงหินน้ำแข็ง ซึ่งแสดงถึงความขาวใสจนมองเห็นเนื้อในและความแข็งคมของผลึกรัตนชาติชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี บางครั้งยังพบว่าบางผลึกจะปรากฏเส้นสายแร่ลักษณะคล้ายเข็มเย็บผ้าหรือเส้นผมคน อยู่ภายในเนื้อสีขาวใสอีกด้วย หากเป็นเส้นสีทองเรียกว่าไหมทอง หากเป็นสีฟ้าจะเรียกว่าไหมฟ้า และหากเป็นสีดำก็จะเรียกว่าแก้วขนเหล็ก ซึ่งคนโบราณก็มีความเชื่อว่าผลึกแก้วแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติพิเศษในการให้คุณและขจัดปัดเป่าเภทภัยที่แตกต่างกันไป

จุยเจีย เป็นรัตนชาติในตระกูลควอตซ์ (QUARTZ) แยกทางคุณลักษณะออกได้เป็น ๒ ชนิดใหญ่คือ ๑.จุยเจียใส หรือผลึกควอตซ์ (ROCK CRYSTAL) มีลักษณะใสบริสุทธิ์ แต่จะมีสีภายในที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่ที่ภายในผลึกแต่ละก้อนจะมีแร่ธาตุโลหะหนักตัวใดมากกว่ากัน ๒.จุยเจียเข้ม หรือจุยเจียไหม (RUTILE QUARTZ) มีลักษณะใส แต่ภายในมีสายแร่วิ่งผ่าน แล้วแต่ประเภทของสายแร่ที่วิ่งผ่าน ส่วนใหญ่มักเป็นสีทอง สีเงิน สีนาก กระจายอยู่ ซึ่งจะเรียกตามชนิดและสีของสายแร่ เช่น จุยเจียเข็มทอง, จุยเจียไหมทอง ความเชื่อตามคติโบราณ "จุยเจีย" เป็นรัตนชาติที่มีพลังอานุภาพ ความศักดิ์สิทธิ์ที่สะสมมาแต่ช้านาน โดยธรรมชาติและด้วยพลังที่สะสมอยู่นี่เอง ทำให้ฅนโบราณใช้แก้วจุยเจียเป็นเครื่องรางของขลัง ที่สามารถป้องกันปัญหาและช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลในร่างกายโดยพลังที่สะสมในแก้วจุยเจีย เป็นพลังที่ใสสะอาดและมีความเยือกเย็น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าจากธรรมชาติอย่างแท้จริง  แก้วจุยเจียนี้สามารถรับและกักเก็บพลังอานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ได้มากเมื่อเทียบกับวัตถุชนิดอื่นๆแม้กระทั้งโลหะธาตุบริสุทธิ์ เช่น ทองคำ และตะกั่ว ทั้งในทางตรงข้าม แก้วจุยเจียสามารถเปล่ง พลังอานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้อย่างมากมาย  ในทำนองเดียวกันก็รวมถึงการขยายตัวของพลังที่ถูกเปล่งออกไป และถ้าได้นำพระแก้วจุยเจียนี้ไปบรรจุรังสีแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพและสังฆานุภาพ โดยพระสุปฏิปัณโณ ผู้บริสุทธิ์ด้วยวิชชาและวิมุตติแล้ว จะมีพุทธานุภาพครบถ้วนพุทธคุณตั้งแต่เมตตามหานิยม คุ้มครองแคล้วคลาด มหาอุดคงกระพันชาตรี ป้องกันคุณผี คุณฅน คุณไสย เป็นมหาอำนาจเพิ่มพูนวาสนา ถ้านำมาใช้ในทางปฏิบัติธรรมจะช่วยทำให้จิตเป็นสมาธิได้รวดเร็วยิ่งขึ้น มีพุทธานุภาพสูงเป็นที่ยอมรับของฅนโบราณ จึงนิยมพกพาพระแก้วจุยเจียไว้ติดกาย เพื่อป้องภยันตรายป้องกันสิ่งชั่วร้ายอัปมงคล ช่วยส่งเสริมวาสนาบารมี นำโชคลาภมาสู่ผู้ครอบครอง จากจุยเจีย....สู่เครื่องสักการะของชาวสยาม บริเวณเชียงแสน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ซึ่งเป็นดินแดนล้านนา มีคติความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาที่แกะสลักด้วยฝีมือประณีตงดงามจากรัตนชาติหรือแก้วผลึก เข้าใจว่าคงได้รับอิทธิพลจากประเทศจีนที่นิยมแกะสลักแก้วผลึกหินสีเป็นรูปแบบต่างๆ เช่น การแกะสลักหยก (Jade) ซึ่งเป็นผลึกหินที่ได้อายุ และแบ่งเกรดตามอายุขัยของผลึกหินที่ขุดค้นได้นอกจากนี้ ชาวจีนยังนิยมแกะสลักแก้วผลึกที่เรียกว่า "จุ้ยเจีย" ซึ่งเป็นแก้วหินสีขาวใส โดยมีความเชื่อว่าแก้วหินดังกล่าวจะช่วยปัดเป่าความชั่วร้าย และสร้างความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองให้กับเจ้าของผู้ครอบครอง การสร้างพระพุทธปฏิมาจากผลึกแก้วรัตนชาติได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน และแพร่หลายทั่วไปในบริเวณล้านนา ซึ่งความงดงามด้วยความเป็นรัตนชาติจะแตกต่างจากการสร้างด้วยวัสดุอื่น ตัวอย่างเช่น พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ซึ่งทำจากแก้วมณีสีเขียวนอกจากนี้ ที่ขึ้นชื่อลือเลื่องได้รับความนิยมมากก็ได้แก่ พระแก้ว กรุฮอด จังหวัดเชียงใหม่ พระแก้ว กรุฮอด เป็นพระศิลปะเชียงแสน-เชียงใหม่ มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ถูกกรมศิลปากรขุดค้นพบอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. ๒๕๐๒ เนื่องจากเกรงว่าเมื่อสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเมืองฮอด ที่เป็นเมืองโบราณในอาณา จักรล้านนา ทางกรมศิลปากรจึงขุดค้นโบราณสถานต่างๆ เพื่อรวบรวมของเก่าของมีค่าที่อยู่ในกรุเจดีย์หรือวัดวาอารามต่างๆ จัดเก็บไว้ก่อนจะได้รับความเสียหาย ซึ่งในการขุดค้นครั้งนี้พบพระพุทธปฏิมาแกะสลักจากแก้วผลึกสีสันต่างๆ จำนวนมาก มีทั้งขนาดหน้าตัก ๓ นิ้วเรื่อยมาจนเล็กสุดเท่าปลายนิ้วก้อย ส่วนใหญ่จะเป็นปางสมาธิและปางมารวิชัย ศิลปะการแกะสลักเป็นฝีมือช่างชาวพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สันนิษฐานว่าคงมีคติการสร้างพระจากรัตนชาติในกลุ่มเจ้านายทางเหนือ เพื่อบรรจุกรุตามคติปัญจอันตรธาน อันเป็นการสืบทอดอายุพระศาสนา พระแก้วส่วนใหญ่จะพบที่วัดศรีโขง และวัดอื่นๆ ในเขตเมืองฮอด คำเล่าลือถึงความงามแห่งรัตนชาติปรากฏไปทั่ว จนชาวบ้านแอบดำน้ำลงไปขุดค้นหาหลังจากน้ำท่วมเมืองฮอดและยังได้พบพระอีกจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ผู้คนเสาะแสวงหากันอย่างไม่หยุดหย่อน ในบรรดาพระแก้วผลึกที่ค้นพบจะมีสีสันต่างๆ ถ้าเป็นสีขาวใสอมเหลือง เรียกว่าบุษย์น้ำทองเป็นสีขาวใสอมเขียว เรียกว่าบุษย์น้ำแตง แต่ถ้าเป็นสีขาวใสจะเรียกว่าเพชรน้ำต้น หรือเพชรน้ำค้าง

เนื่องจากพระแก้วดังกล่าวเป็นผลึกหินรัตนชาติตามธรรมชาติ ผู้คนก็มีความเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และให้คุณกับผู้เป็นเจ้าของ