...@@ ตะกรุด โทน หลวงพ่อธรรมฐี (หลวงพ่อบุญใหญ่) วัดเจดีย์คีรีวิหาร @@...
+++พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตร (บุญใหญ่ อินทปณโญ)
" หลวงปู่บุญใหญ่" เป็นชื่อที่ชาวอุตรดิตถ์ เรียกพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิรูปหนึ่งตามสมศักดิ์ของท่าน คือ พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตร (บุญใหญ่ อินทปญโญ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์คีรีวิหาร และเจ้าคณะแขวงเอกเมืองพิชัย มณฑลพิษณุโลก ท่านเกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2415 บิดาชื่อหม่อม มารดาชื่อ แก้ว มีพี่น้องจำนวน 3 คน ได้แก่ นางแตะ พุฒเนียม นางคำ สุขวุ่น และหลวงปู่บุญใหญ่ (ชื่อเดิม บุญ พุฒเนียม)
ในสมัยวัยเยาว์ หลวงปู่บุญใหญ่ได้มีความสนใจวิชาในทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่ออายุได้ 12 ปี โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์น้อย วัดป่ายาง (อุปัชฌาย์รูปแรกของอำเภอลับแล) ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและอักษรล้านนาจนความรู้แตกฉาน เมื่ออายุได้ 15 ปีได้บวชเป็นสามเณร ท่านเริ่มสนใจในวิชาไสยศาสตร์และเวทมนต์คาถาเป็นอย่างมาก หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์น้อยก็เมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้แขนงต่าง ๆ ให้หลวงปู่บุญใหญ่จนหมดสิ้น เมื่ออายุครบ 20 ปี หลวงปู่จึงได้อุปสมบทหรือเป๊ก (เป๊ก หมายถึง การบวชพระที่เป็นสามเณรโดยที่ไม่สึกเป็นฆาราวาส) โดยมีหลวงพ่อน้อย วัดป่ายางเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้นามฉายาว่า "อินทปญโญ" ขณะที่บวชเป็นพระ ท่านได้อยู่ปรนนิบัติหลวงพ่อน้อย ศึกษาพระปริยัติธรรม และปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป ต่อมาจึงได้กราบลาพระอุปัชฌาย์ย้ายมาจำพรรษา และปฏิบัติธรรมที่วัดทุ่งเอี้ยง เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้โยมบิดามารดา
สมเด็จพระสังฆราช ฯ เสด็จประพาสภาคเหนือ
ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งเอี้ยงหลายพรรษา จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งเอี้ยง พ.ศ. 2453 สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภูชงค์) ได้เสด็จประพาสภาคเหนือมาประทับที่วัดทุ่งเอี้ยง ซึ่งอยู่ห่างจากวัดป่าแก้วไม่มากนัก พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นเจดีย์เก่า จึงตรัสถามหลวงปู่ว่า " นั่นเป็นวัดหรืออย่างไรเห็นเจดีย์เก่าแก่อยู่ " หลวงปู่จึงกราบทูลว่า " เป็นวัดร้างมานานแล้ว ชาวบ้านเรียกว่าวัดป่าแก้ว " สมเด็จพระสังฆราชจึงตรัสถามหลวงปู่ต่อว่า " วัดร้างนั้นอยู่ในทำเลที่ดีอยู่ในเนินที่สูงไม่มากนัก พร้อมทั้งเจดีย์เก่าอยู่ ข้าพเจ้าว่าคงเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง น่าจะบูรณะซ่อมแซมและไปอยู่ที่นั่น ถ้าท่านจะไปบูรณะและไปอยู่จริงข้าพเจ้าจะตั้งชื่อให้ใหม่ว่า วัดเจดีย์คีรีวิหาร "
หลังจากสมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เสด็จกลับไปแล้ว ในปี พ.ศ. 2454 หลวงปู่บุญใหญ่ และชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกัยบูรณะซ่อมแซมเจดีย์คงคืนสภาพเดิม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 วา สูง 13 วา ขณะที่ซ่อมแซมเเจดีย์ได้พบเครื่องลายคราม เงินกลม และพระพุทธรูปทองคำ หน้าตักกว้าง 2 นิ้ว สูง 3 นิ้ว เป็นจำนวนมาก หลวงปู่จึงได้นำเอาของมีค่าทั้งหมดนำมาบรรจุไว้ในองค์พระธาตุเจดีย์ และขณะที่กำลังบูรณะอุโบสถ(หลังเก่า) นั้นได้พบแผ่นศิลาจารึก 1 แผ่น ตัวอักษรในแผ่นศิลาจารึกนั้นอ่านไม่ออก (ไม่ใช่ภาษาไทย) ข้าหลวงอุตรดิตถ์ (ผู้ว่าราชการจังหวัด) ได้จัดส่งไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อซ่อมแซมเจดีย์และอุโบสถเสร็จแล้ว ก็ได้สร้างกุฎิ และศาลาการเปรียญขึ้นอีกหนึ่งหลัง เมื่อสร้างเสร็จแล้วหลวงปู่ก็ได้ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดเจดีย์คีรีวิหาร ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและเจ้าคณะแขวงเอกเมืองพิชัย มณฑลพิษณุโลก และได้รับพระราชทานสมศักดิ์ว่า " พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตร "
การสร้างวัตถุมงคล
หลวงปู่บุญใหญ่ท่านมีพระที่เป็นพระสหายธรรมที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม , หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นต้น ซึ่งมีกไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ จึงเป็นที่เชื่อได้ว่าวิทยาคมของท่านนั้นสูงส่งไม่ต่างจากสหายของท่าน
ท่านได้สร้างพระเครื่องอยู่ประเภทหนึ่งที่ผู้อยู่ในวงการพระเครื่องต่างก็สับสนในเรื่องของที่มา ได้แก่ พระผงคลุกรัก ซึ่งพระผงคลุกรักนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2470 โดยท่านได้ให้นายช่างทำโบสถ์ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นมาแกะแบบพิมพ์ โดยใช้ไม้แบบพิมพ์ และท่านยังได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้น มาร่วมพิธีหลายท่าน เช่น หลวงพ่อฝ้าย วัดสนามไชย อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก (เจ้าตำรับกระสุนคด) หลวงพ่อเรือง วัดพระยาปันแดน พระมหาธังกร วัดน้ำคือ จ.แพร่ หลวงพ่อนาค วัดป่าข่อย และหลวงพ่อฮวบ วัดสามัคยาราม เป็นต้น เมื่อทำพิธีพุทธาภิเษกเสร็จ หลวงปู่ได้มอบพระผงคลุกรักให้กับพระเกจิอาจารย์เหล่านั้นกลับไปวัดด้วย จึงทำให้ภายหลังมีผู้ที่ได้รับพระเครื่องเหล่านี้จากมือหลวงพ่อองค์ใด ต่างก็เข้าใจว่าหลวงพ่อองค์นั้นเป็นผู้สร้างและที่พบเห็นกันมากที่สุด คือ จ.พิษณุโลกของหลวงพ่อฝ้าย วัดสนามไชย อ.พรหมพิราม
(((ขอบคุณข้อมูลคับ )))^^
|