**อะนันตะซุงธาตุลุงคำ(ปรอทกินทอง)**
ชิ้นนี้เป็นของยุคเก่าจากฝังพม่า เม็ดหนาใหญ่มีถักลวดเงิน
ขนาดกว้าง 2.4 cm.เลี่ยมทองคำแท้ยกซุ้มหนาๆครับ
**ขอลงบทความเรื่องเล่าจากพระอาจารย์อภิวัฒน์ให้อ่านกันดูนะครับ**
**วิธีการสร้างอัคคียะธาตุ ในวิธีที่๒ที่เคยกล่าวมาแล้วและรับปากว่าจะนำมาเล่าสำหรับท่านที่สนใจติดตามได้อ่านกันเล่นๆ ซึ่งในการเขียนบทความนี้ข้าพเจ้าเขียนตามตำราและวิธีของชาวไทยใหญ่ที่เคยพอได้ศึกษาและอ่านผ่านตามาบ้างในเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุของชาวไทยใหญ่(ที่เคยทำความเข้าใจมาเท่านั้น ซึ่งก็คงมีวิธีอีกหลายๆแบบที่ข้าพเจ้าไม่เคยอ่าน ไม่เคยทำความเข้าใจต้องขออภัยถ้าเขียนผิดพลาดไปครับ) ตำราการเล่นแร่แปรธาตุหรือที่เรียกกันว่า อัคคียะกยามหรือตำราอัคคียะ ชื่อก็บอกตรงตัวอยู่แล้วว่าอัคคีคือไฟแปลตรงตัวง่ายๆก็คือธาตุที่สำเร็จมาจากไฟนั่นเอง วิธีที่๒ที่จะนำมาเล่าเขามีวิธีการดังต่อไปนี้ ขั้นตอนแรกคือแสวงหาวัตถุที่เป็นทองเหลือง ทองแดง ทองสำริด เงิน ทองคำ ตามมาตราส่วนที่กำหนดไว้คือทองเหลือง5กก. ทองแดง5 กก. เงิน 2 กก.และทองคำ 150 g.(อาจจะไม่ถูกต้อง อย่าทำตามที่ผมว่านะครับ) โลหะทั้ง๔ชนิด มักจะเป็นวัตถุที่มีอาถรรพ์หรือกายสิทธิ์ในตัวเองก่อนเช่น ทองขวานฟ้า ทองคำผีแมน แท่นพระชำรุด ทองแดงก้นหม้อฯลฯ นำโลหะทั้งหมดมาตะไบหยาบๆแล้วนำบรรจุในไหที่บรรจุด้วยว่านพิษหลายๆชนิด ไขวัว เนื้อวัว เนื้อควาย ไขควาย ฯลฯแล้วจึงนำไปฝังไว้ในที่ๆมีน้ำครำหรือมีน้ำตลอด เมื่อโลหะกินพิษจนอิ่มหนำดีแล้วเป็นเวลา 6เดือนเมื่อเวลาเปิดไหน้ำที่ดองต้องมีวรรณะดังรุ้งกินน้ำ ถึงจะนำออกมาถลุงอีก28ไฟ28รอบ(ตอนนี้ถึงจะนำปรอทผสม) เมื่อสำเร็จเทเป็นก้อนเป็นเม็ดเล็กๆแล้วก็นำไปต้มด้วยว่านยาสมุนไพรเช่นว่านต่งคืม ว่านสอด ว่านกาเผือก ว่านจักจ่าวะเต มังแข เข่งปานฯลฯเป็นต้น ตามตำราเพื่อชำระให้บริสุทธิ์ ด้วยไฟอ่อนๆให้พอเดือดไม่ขาดถึง3ราตรีซึ่งบางทีก็ระเบิดหายไปเสียก็มี เมื่อสำเร็จแล้วจึงนำไปปลุกเสกอีกถึง ๗ สถานที่จึงจะสำเร็จเป็นปะตาอัคคียะหรืออนันตะซุงธาตุ ที่เราๆเห็นกันอยู่นั้นเองครับ เชื่อกันว่าสามารถคุ้มดวงชะตาที่กำลังจะตกต่ำให้ดีขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องรางป้องกันภูตผีปีศาจ คุณไสย์ทั้งปวง อำนวยผลด้านความสำเร็จสมปรารถนาในหน้าที่การงาน ให้มีโชคลาภวาสนา มียศมีตบะเดชะอำนาจเป็นต้น ส่วนมากเครื่องรางที่ปรากฏในรูปแบบปรอทสำเร็จมักมีอิทธิคุณในตัว เคยได้ยินคนไทยใหญ่ที่พกพาเล่าว่าเคยเห็นอัคคียะธาตุนี้เรืองแสงเองได้บ้าง หายไปเองได้บ้าง ซึ่งก็น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง.......
|