พระกริ่งบรมจักรพรรดิ์ เนื้อนวะแก่ชนวนพระกริ่งชินบัญชร 2517 ก้นทองคำ สร้างน้อยมากแค่ 20 องค์ ก้นเงินสร้าง 101 องค์ และองค์ต้นแบบ 1 องค์ พระกริ่งองค์นี้หมายเลข 7
ประวัติการสร้างพระกริ่งและพระชัยบรมจักรพรรดิ์
1.พระกริ่งทองคำจำนวนการสร้างทั้งหมด 23 องค์ มีตอกหมายเลข 1-23 ยกเว้นหมายเลข 13 ข้ามเว้นไม่ได้ตอก
2.เนื้อนวะ มี 121 องค์(ไม่รวมองค์ต้นแบบอีก 1 องค์ เป็น 122 องค์) ทั้งนวะและทองคำมีมวลสารชินบัญชรทุกองค์
3.พระชัยวัฒน์บรมจักรพรรดิ์มีเนื้อ นวะแก่ชนวนพระกริ่งชินบัญชรก้นทองคำสร้าง23องค์ และพระชัยอุดผงพรายกุมาร มีทั้งอุดผงสีขาวและสีดำ สร้างประมาณหลักร้อยองค์ครับ
กำหนดฤกษ์ยามเทมวลสารที่ผสมมีดังนี้
1.ฉนวนชินบัญชรเกือบครึ่งกิโลกรัม ของเสี่ยฮง ที่เก็บฉนวนไว้เกือบ 20ปี เสี่ยฮงเมื่อได้มาใหม่ ๆ ได้นำฉนวนนี้ไปให้ หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน พระอริยสงฆ์และทรงอภิญญาตรวจดู เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นฉนวนพระกริ่งชินบัญชรหรือกลัวพี่ชินจะหยิบมั่ว ๆ มาให้ หลวงพ่อพุธที่นับถือของเสี่ยฮง บอกว่า "ชนวนพระกริ่งนี้แรงมาก สร้างจากผู้ทรงอภิญญาที่สูงเยี่ยม"
2.เหล็กเจ้าน้ำเงิน(มีดีในตัว อานุภาพเหมือนเหล็กไหล)ก้อนยาวประมาณ 1 นิ้ว อาจารย์หนู ปรมาจารย์พระกริ่งสายวัดสุทัศน์ศิษย์พระสังฆราชแพมอบให้อาจารย์ชินพร มาเป็นหัวเชื้อในการผสม
3.ฉนวนบรมพุทโธ ของ สมเด็จ พระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์
4.ฉนวนขอบตัดของเสมาหลวง มหาจักรพรรดิตราธิราช พระพุทธนิมิต วัดหน้าพระเมรุ อยุธยา รุ่น มหาจักรพรรดิตราธิราช มี ฉนวนชินบัญชร หลวงปู่ทิม เข้มข้นผสมอยู่ และ ฉนวนก้นเบ้าเก่าของวัดสุทัศน์ชนิดเพียว ๆ ของสมเด็จพระสัมฆราชแพ (ส่วนที่เหลือจากพระกริ่งยอดแก้ว) อยู่ก่อนแล้ว ปลุกเสกที่วัดหน้าพระเมรุ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของอยุธยา วัดนี้สมัยก่อน พระเจ้าอลองพญายิงปืนใหญ่เข้ากรุงศรี แต่ปรากฏว่าปืนแตก พระเจ้าอลองพญาสิ้นพระชนย์
5.ผงพรายกุมารชนิดเข้มข้นของหลวงปู่ทิม
6.พระเกสาหลวงปู่ทิม
7.สีผึ้ง สุดยอดแต่ละชนิดของหลวงปู่ทิม มี สีผึ้งขาว สีผึ้งดำ เป็นต้น
8.เม็ดพระกริ่งชินบัญชรที่สมัยหลวงปู่ปลุกเสกไว้เมื่อคราวเมื่อปี 17 บรรจุที่ก้นทุกองค์
9.แผ่นเงิน วังสามพญา ที่ได้รับการปลุกเสกมาก่อนหน้านี้แล้ว บรรจุใต้ก้นก่อนนำแผ่นทองคำหุ้นอีกชั้นหนึ่ง เป็นทั้งก้นเงินก้นทองในองค์เดียวกันในเฉพาะชุดทองคำ
10.น้ำมันเสือที่หลวงปู่ทิมเสกไว้
11.น้ำมันเหล็กไหลหลวงปู่พรหมา เขมจาโร บรรจุไว้ที่ก้นในเนื้อทองคำทุกองค์ ส่วนนวะก็เช่นกัน ได้ทำการแช่น้ำมันเหล็กไหวไว้เช่นกัน นำมันเหล็กไหลก็เปรียบเสมือนน้ำกลั่นที่เป็นตัวเชื่อม เมื่อกระแสพลังวิ่งผ่านจะเข้าสู่วัตดุมงคลและสำเร็จได้ง่าย
12.น้ำมันแต่งทัพที่หลวงปู่มอบให้กับลุงชิน นำมาผสมอยู่ในมวลสาร เป็นน้ำมันอาถรรพ์ที่หลวงปู่ทิมให้ลุงแมงขุดขึ้นมา
13.ทองคำ หนักเกือบ 8 บาท อยู่ในชุดนวะโลหะ เพื่อเร่งให้นวะกลับดำให้เงางาม
14.มีฉนวนที่ในหลวงและพระเทพท่านทรงเคยเจิมฉนวนไว้ก่อนเก่า
หลังจากนั้นให้หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ปลุกเสก โดยกำหนดคำนวนฤกษ์ยาม โดยพรามณ์กำหนดหาฤกษ์ยามพิธีปลุกเสก อาจารย์ชินพร ได้บวงสรวงอัญเชิญหลวงปู่ทิมมาปลุกเสกพร้อมกับหลวงพ่อผาด ปลุกเสกพลังพุทธคุณกายเนื้อของพระอรหันต์อจินไตย(อจินไตย แปลว่า "สิ่งที่ไม่ควรคิด ด้วยเหตุผลปกติ"เพราะเป็นเรื่องพ้นวิสัยของคำพูดความคิดแบบสามัญจะคิดให้ถูก ต้องตามความเป็นจริงได้)หลวงพ่อผาด ผนวกบวกกับ พลังพุทธคุณ กายทิพย์ พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาอันสูงยิ่งกว่าของหลวงปู่ทิม อิสริโก หลังจากเสร็จพิธี อาจารย์ชินพรได้นำกับมาจารอักขระยันต์ใต้ก้นพระกริ่ง กำหนดเลขยันต์ ตามสูตรพระพุทธคุณไว้ทุกองค์ โดยโยงสายสินธุ์จากรูปปั้นหลวงปู่จารอักขระผ่านมืออาจารย์ชินพร(เฉพาะนวะ โลหะชุดแรก) หลังจากนั้นตอกโค๊ต นะ พญาเสือโคร่ง กำกับไว้ทุกองค์ นวะตอก นะพญาเสือไว้ที่ใต้ก้น ตอกโค๊ต เฑาะ ไว้ที่ก้นด้านหลังองค์พระ (ขออนุญาตเจ้าของภาพเดิมและขอบคุณครับ)
จดหมายเหตุ พระกริ่งตระกูลชินบัญชรที่มีชนวนมวลสารเข้มข้นเร้าใจที่สุดแห่งยุค
“พระกริ่ง ชินบัญชร บรมจักรพรรดิ”
(ชินบัญชร+บรมพุทโธ+มหาจักรพรรดิ)
ที่ระลึก 30 ปีละสังขาร พระครูภาวนาภิรัติ(หลวงปู่ทิม อิสริโก )วัดละหารไร่ ระยอง
(จากนิตยสารกระแสพระ)
ในโอกาสที่ท่านพระครูภาวนาภิรัติ หรือที่ทุกๆท่านรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีที่สุดในนาม”หลวงปู่ทิม อิสริโก”แห่งวัดละหารไร่ อ.บ้านค่าย จ.ระยองได้มรณภาพมาครบ 30 ปี ( 30 ทัศ) ในปีพ.ศ. 2548 ซึ่งนับเป็นโอกาสอันพิเศษ ควรค่าแก่การประกอบมหากุศลกิจเป็นมหามังคลานุสรณ์เป็นที่ยิ่งนั้น ซึ่งเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ผู้เขียนก็เคยได้ลองแอบถามคุณชินพร สุขสถิตย์ ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม ที่หลวงปู่ท่านเคยรับปากไว้ก่อนละสังขารว่า “ถ้าพรจะทำพระอะไร นี่อยู่ที่ไหนก็จะลงไปช่วย” ครั้งหนึ่งว่า
“พี่ชินพรครับ....หลวงปู่ทิมท่านมรณภาพมาครบ 30 ปีเข้าปีนี่แล้ว ซึ่งนับเป็นโอกาสพิเศษกว่าธรรมดา ไม่ทราบว่าพี่ได้เตรียมทำของดีอะไรเป็นที่ระลึกในคราวนี้บ้างหรือเปล่าครับ.. ”
“ยังเลย....”คุณชินพรตอบ “ตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดทำอะไรเลย”
“เหรอครับ” ผู้เขียนทำหน้าม่อยอย่างผิดหวังเล็กๆ ก่อนที่จะบ่นอุบอิบพึมพำอยู่งึมงำคนเดียวคล้ายกับ”หมีพูกินผึ้ง”ว่า “โอกาสพิเศษ 30 ปีหลวงปู่ทิมละสังขารอย่างนี้ พี่ชินพรน่าจะทำอะไรที่พิเศษๆไว้เป็นที่ระลึกบ้างจริงๆน๊า.....”
จนจำเนียรกาลผ่านพ้นไปหลายเดือน พลันก็มี”ข่าวดี”อย่างมากๆถึงมากที่สุดข่าวหนึ่งลอยลมมาเข้าหูจนได้ โดยท่านพระมหาปิยะ โสดาวาปี ซึ่งมีความรู้ทางธรรมสูงถึงเปรียญ 7 ประโยค แต่ก็มีความ”เครซี่”สนใจศึกษาในพระเครื่องรางของขลังตลอดจนวิชาอาคมไสยศาสตร์อย่างสุดฤทธิ์ และมีความสนิทสนมกับคุณชินพรเป็นอันดี เพราะได้อุปถัมภ์ให้ทุนเรียนบาลีจนได้เปรียญ 7 ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร แม้ปัจจุบัน จะได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสนใจในวิชาไสยศาสตร์พุทธาคมควบคู่ไปกับการศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่อย่างไม่เลิกรา ก็กริ๊งกร๊างมาบอกข่าวลับ ชวนให้ตื่นเต้นเร้าใจที่สุดข่าวหนึ่งแห่งปีเลยทีเดียวว่า
“นี่ๆ รู้ไหม...ต้องนี้คุณชินพรน่ะ กำลังเตรียมจะทำพระกริ่งชินบัญชรรุ่นพิเศษ ครบ 30 ปีแล้วนะ...เห็นว่า จะทำแค่ 108 องค์เท่านั้น และจะได้เอาชนวนเก่ามาผสมให้เข้มข้นที่สุดกว่าทุกๆรุ่นที่เคยทำมาเลยทีเดียว..!!!!!”
“จริงๆรึครับ หลวงพี่.. ”ผู้เขียนตาโตราวกับไข่ห่าน
“ใช่แล้ว “พระมหาปิยะตอบรับ “เห็นว่า เสี่ยฮง (คุณสุกิจ แซ่ตั้ง อดีตเคยบวชพระจีนวัดโพธิ์แมนคุณาราม) ซึ่งคุณชินพรเคยให้ชนวนก้นเบ้าพระกริ่งชินบัญชรหนักเกือบครึ่งกิโลไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรจะมอบชนวนคืนกลับมาให้หล่อพระกริ่งรุ่นนี้ด้วยแหละ ซึ่งได้ยินว่า จะใส่ทองคำเพิ่มเติมไปอีกตั้ง 7 บาท ด้วยแหละ....”
“ว๊าว....”ผู้เขียนตื่นเต้นเกินห้ามใจ “ถ้าอย่างนั้น พระกริ่งชุดนี้จะต้องมีเนื้อหาที่เข้มข้นจัดจ้านที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมาเลยนะครับนี่... พระกริ่งแค่ 100 กว่าองค์ แต่ใส่ชนวนเก่าพระกริ่งชินบัญชรตั้งเกือบครึ่งกิโล และใส่ทองคำอีกตั้ง 7 บาทเห็นปานนี้...”
“แม่นแล้วล่ะ..!!!!”
“และในฐานะที่หลวงพี่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพี่ชินพรเป็นอย่างดี พี่ชินพรคงจะต้องถวายพระกริ่งฟรีแก่หลวงพี่อย่างน้อยหนึ่งองค์เป็นแน่นอนนะครับ...”
“คงเป็นเยี่ยงนั้นแล...”หลวงพี่ปิยะตอบรับด้วยเสียงอมยิ้มอย่างมั่นใจเต็มที่
และเมื่อได้สนทนาเสร็จ ผู้เขียนก็ให้ ”ร้อนเร่า” ประมาณเหมือนประหนึ่งว่า “ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กลับกระด้างดังศิลาประหลาดใจ” เลยทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เลยต้องตาลีตาเหลือกรีบไปจองพระกริ่งชุดกรรมการ(ก้นทองคำ) กับคุณชินพรด้วยเหมือนกัน
พร้อมในโอกาสเดียวกันนั้น เพื่อเป็นการร่วมสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่กับสายหลวงปู่ทิม อิสริโก เป็นกรณีพิเศษ ผู้เขียนจึงได้นำเอาสร้อยคอทองคำและชนวนโลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับหัวกะทิๆชั้นสุดยอดที่สะสมเอาไว้ไปร่วมเททองพระกริ่งชินบัญชร ที่ระลึก 30 ปีอีกเป็นจำนวนมากมายมหาศาล
ที่นับได้ว่า”สุดยอด”ของยอดสุด ก็เห็นจะเป็นชนวนเหรียญ”เสมาหลวง มหาจักรพรรดิตราธิราช” เนื้อนวโลหะชั้นบรมครูที่ดำสนิทราวกับนิลในทันที่ที่ปั๊มเสร็จ ซึ่งสร้างเมื่อปลายปีพ.ศ. 2547 นั่นเอง
อนึ่ง อันชนวนมาลสารหลัก ของเหรียญเสมาหลวง มหาจักรพรรดิตราธิราช ซึ่งเป็นเหรียญเนื้อนวโลหะชั้นยอดที่สุดแห่งยุคนี้ แท้จริงแล้ว มีส่วนผสมของชนวนหลักสองสายคือ
1. ชนวนก้นเบ้า พระกริ่งสมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์เทพวราราม กทม.แบบหัวเชื้อเพียวๆ (เหลือจากการสร้างพระกริ่งยอดแก้ว จ.สระบุรี ที่ออกให้บูชาชุดละ 30,000 บาท เมื่อปีพ.ศ. 2545 ซึ่งทางวัดได้รับมาจากพระราชวิสุทธาจารย์(แป๊ะ จันทสาโร) อดีตเจ้าคณะ 6 วัดสุทัศนเทพวราราม อีกทอดหนึ่ง) น้ำหนักประมาณ 200 กรัม
2. ชนวนปากเบ้า พระกริ่งชินบัญชร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ระยอง(ได้จากพระมหาปิยะ โสดาวาปี ซึ่งได้รับมาจากคุณชินพร อีกทอดหนึ่งเช่นกัน) น้ำหนักประมาณ 100 กรัม
ด้วยสองสุดยอดอภิมหาชนวนจากสองสำนักใหญ่ในการสุดยอดพระกริ่งแห่งยุค เมื่อนำมาหล่อหลอมรวมกับชนวนศักดิ์สิทธิ์จากบรรดาพระอริยคณาจารย์อื่นๆอีกเป็นจำนวนมากแล้ว แล้วหลอมรีดปั๊มออกมาได้เพียง 156 เหรียญ (หลังพระยันต์มหาจักรพรรดิ60 เหรียญ หลังพระยันต์โสฬสมงคล 60 เหรียญ หลังเรียบ 30 เหรียญ) จึงทำให้เหรียญเสมาหลวง มหาจักรพรรดิตราธิราชนี้ มีเนื้อหามวลสารที่เข้มข้นงดงามเป็นพิเศษ ทั้งยังทรงไว้ซึ่งพุทธานุภาพครบจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลานุภาพทางด้านมหาโชคมหาลาภแบบ”ไม่คาดฝัน”นั้น ออกจะโดดเด่นเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย เป็นที่รู้ซึ้งแก่ผู้ที่ได้ไว้บูชากันโดยทั่วไป
แม้แต่ตัวของผู้สร้างเอง ปกติแล้ว มักไม่ค่อยจะห้อยพระที่ตนเองสร้างสักเท่าไร เพราะเกรงคนอื่นเขาจะหาว่า”เบอร์ห้า” เมื่อลองห้อยเหรียญเสมาหลวงนี้ดูแล้ว ก็ต้องถึงแก่การ”ติดใจ” ชนิดที่ต้อง”ห้อยเดี่ยว”กันโก้หร่านไปเลย
เพราะ”โชคลาภ”ดีเหลือเกินอย่างที่ไม่เคยพบพานหรือเจอะเจอมาก่อนในชีวิต
ซึ่งขอบเหรียญและแผ่นชนวนมวลสารที่เหลือจากการสร้างเหรียญเสมาหลวง มหาจักรพรรดิตราธิราชอันศักดิ์สิทธิ์เป็นอัศจรรย์อย่างยิ่งรุ่นนี้ ยังมีเหลืออยู่พอสมควร(ประมาณ 1 กิโลกรัม) ผู้เขียนก็ได้แต่เก็บไว้เงียบๆ รอวันที่”สมควร”จะนำมาหล่อหลอมสร้างพระที่พิจารณาเห็นแล้วว่า “คู่ควร”อย่างที่สุดแก่”สุดยอดชนวน”ระดับอ๋องเยี่ยงนี้
และที่สุด วันนี้ที่รอคอยก็มาถึง เมื่อทราบว่า คุณชินพรจะหล่อพระกริ่งชินบัญชรที่ระลึก 30 ปีละสังขาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ผู้เขียนจึงยินดีมอบมวลสารอันสุดหวงชุดนี้ให้เกือบหมดสิ้น
สร้างเป็น”องค์พระ”ย่อมเป็นมหากุศลดียิ่งกว่าเก็บเป็นแผ่นหรือแท่งชนวนเป็นไหนๆอย่างแน่ๆ
และนอกจากนี้ ทางคุณชินพร ยังได้”เจ้าน้ำเงิน”และชนวนพิเศษอื่นๆมาร่วมเททองอีกไม่น้อย เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจอนุโมทนาสาธุการเป็นยิ่งนัก ซึ่งชนวนบางสิ่งบางอย่าง ก็จะได้สร้างความ”เซอร์ไพรซ์”ในภายหลังอย่างคาดไม่ถึงเลยเทียว...!!!!
ก็เมื่อภายหลังที่คุณชินพร ได้ทำพิธีอัญเชิญดวงพระวิญญาณของหลวงปู่ทิม อิสริโก ทำพิธีเททองพระกริ่งชินบัญชร 30 ทัศอย่างโบราณสำเร็จออกมาเสร็จแล้ว คุณชินพรก็ได้นำพระกริ่งทั้งหมด จำนวน 122 องค์ไปอุดมวลสารระดับ”สุดยอดในตองอู”ทุกองค์ไป อันประกอบด้วย
1.ผงพรายกุมารเข้มข้น
2.น้ำมันพระเจ้าตาก(น้ำมันแต่งกองทัพ) ที่หลวงปู่ทิมให้ลุงแมงขุดมาจากใต้กองดินในบริเวณที่จะสร้างศาลาภาวนาภิรัติ
3.น้ำมันเสือผสมว่านยา หลวงปู่ทิมปลุกเสก
4.สีผึ้งโหลสุดท้าย หลวงปู่ทิม
5.น้ำมันงาเสกจนเดือด หลวงปู่แก้ว เกสาโร
6.น้ำมันเหล็กไหล
7.เม็ดพระกริ่งชินบัญชร (เนื้อทองแดงผสมทองคำ) ที่หลวงปู่ทิมเสกพร้อมกับพระกริ่งชินบัญชรรุ่นแรก (แบบเดียวกับที่ฝังหลังพระปิดตาจัมโบ้ องค์ละเป็นแสนๆ)
เมื่อนำมวลสารทั้งหมดมาอุดใต้ฐานพระกริ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เอาแผ่นทองคำ และแผ่นเงิน สลักชื่อว่า”ชินบัญชร” ปิดไว้ทุกๆองค์ ก่อนตอกเลขตอกโค้ดกันปลอมแปลงไว้อย่างพร้อมมูล ก่อนที่คุณชินพรจะได้นำพระกริ่งทั้งหมด มาอาบด้วยน้ำมันพระเจ้าตากและน้ำมันเหล็กไหลพรายกุมารอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำไปขอบารมีจากหลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด หรือท่านพระครูวิบูลย์ปัญญาวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พระอริยเกจิคณาจารย์ซึ่ง”ซุ่มเงียบ”แบบ”เสือซ่อนเล็บ” ที่น้อยคนนักจักล่วงรู้ แต่คุณชินพร ซึ่งมี”ตัวช่วยดี”กลับรู้แจ้งแทงตลอดดียิ่งก่อนใครๆ มีความ”เชื่อมือ”ท่านอย่างหมดใจ ว่าอันหลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวดนี้ ”เก่งแท้”และ”แน่จริง” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ แต่อย่างใด ทำพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกให้อย่างเต็มใจและเต็มกำลัง น่าเลื่อมใสที่สุด
หมายเหตุ . ในชั้นแรกนั้น ผู้เขียนยังไม่รู้จักมักคุ้นกับหลวงพ่อผาด ก็หาได้เลื่อมใสสักเท่าไรไม่ ทั้งเมื่อได้รู้ว่า คุณชินพรจะเอาพระกริ่งชุดนี้ให้หลวงพ่อผาดปลุกเสกเดี่ยวองค์เดียวด้วย ก็ได้แต่กระเง้ากระงอดว่า น่าจะนำไปให้พ่อแม่ครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีเกียรติคุณเป็นที่ล่วงรู้โดยทั่วไปทำพิธีปลุกเสกเพิ่มอีกสักหลายๆองค์ แต่คุณชินพรกลับบอกว่า”หลวงพ่อผาดองค์เดียวก็พอแล้ว” ผู้เขียนก็ได้แต่เงียบไป จนที่สุด เหมือนฟ้าบันดาล เมื่อผู้เขียนได้ไปพบกับแฟนหนังสือท่านหนึ่ง(คุณวรณัฐ ถ้ำทองถวิล) ซึ่งคุณวรณัฐนี้มีอาจารย์ดี มีสมาธิจิตสูงได้เคยบอกไว้ครั้งหนึ่งอย่างน่าตื่นตะลึงว่า “อันหลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวดนี้ เป็น”อรหันต์อจิตไตย ที่ได้ทั้งวิชชาและวิมุตินะ....” และ”อย่าไปรบกวนท่านมากนะ” ผู้เขียนเลยหายสงสัยในองค์หลวงพ่อผาดพร้อมกับอนุโมทนายินดีกับท่านด้วย และเมื่อเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คุณชินพรฟัง คุณชินพรก็ได้ปรารภเรียบๆออกมาว่า “โธ่...กว่าผมจะเอาพระอะไรให้พระองค์ไหนเสกนั้น ผมต้องศึกษาและรู้มาก่อนแล้วสิว่าใครองค์ไหนสุดยอดอย่างแท้จริงบ้าง ไม่ใช่อยู่ดีๆ ผมจะเอาพระให้ใครเสกก็ได้นะ....”
และเมื่อหลวงพ่อผาด ได้ปลุกเสกพระกริ่งชินบัญชร 30 นี้เสร็จแล้ว คุณชินพรก็ได้นำพระกริ่งทั้งหมดไปเข้าพิธีพุทธาภิเศก ที่วัดละหารไร่ จ.ระยองเมื่อวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นมหาศุภฤกษ์อันดีอย่างยิ่ง โดยมี หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร ฉะเชิงเทรา,หลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่ ระยอง, หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ระยอง และหลวงพ่อแจ่ม วัดสำเภาทอง ระยอง นั่งปรกพุทธาภิเศก โดยมีการจัดอาสนะพิเศษอาสนะหนึ่ง ไว้สำหรับ”หลวงปู่ทิม”มาเป็นองค์ประธานโดย”ทิพย์สภาวะ”หน้าองค์พระประธานอย่างพร้อมมูลอีกด้วย
เพียงเท่านี้ พระกริ่งชินบัญชร 30 ปี รุ่นดังกล่าว ก็น่าที่จะ”ขลัง”เพียงพอที่จะ”ห้อยเดี่ยว”ได้แล้ว แต่คุณชินพรก็ยังคิดไปไกลกว่านั้นอีกด้วยว่า อยากจะให้”อาจารย์ดี”มาจารพระกริ่งรุ่นนี้อีกที คงจะเป็นการที่ดีมากๆเป็นแน่
แต่พอดี ผู้เขียนอยู่ที่ตรงนั้นพอดี ก็เลยแย้งไปด้วยความเคารพอย่างสูงเลยทีเดียวว่า
“โอ๊ย...พี่ชินพรครับ ทำไมต้องไปให้อาจารย์คนอื่นที่ไหนเขาจารด้วย ตัวของพี่เองนั่นแหละลงมือจารเองเลยจะดีกว่า ไหนๆหลวงปู่ทิมก็เคยครอบครูให้กับพี่โดยตรง แถมท่านยังรับปากไว้ก่อนมรณภาพด้วยว่า ไม่ว่าพี่จะทำอะไร หลวงปู่ท่านอยู่ที่ไหน ก็จะมาช่วยให้ตลอด ฉะนั้น พระกริ่งชุดนี้ไม่ต้องให้อาจารย์ที่ไหนลงจารดอก พี่ชินพรเองนั่นแหละ ทำพิธีจารเองคงจะเป็นการที่ดีที่สุดเป็นแน่....”
“จะดีรื้อ...??”คุณชินพรมองหน้าผู้เขียนอย่างถามอย่างไม่ค่อนจะแน่ใจ
“ดีแน่นอนครับ “ผู้เขียนทั้งยืนยัน นั่งยัน และนอนยันเต็มที่
“แต่ผมไม่ค่อยจะแตกฉานในตัวอักขระขอมนะ เกรงว่าจะจารออกมาไม่สวยน่ะสิ...”คุณชินพรยังบ่ายเบี่ยงอย่างถ่อมตัวอยู่ดี
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ..”ผู้เขียนพยายาม”ดัน”เต็มที่อย่างไม่คิดชีวิต “จะจารสวยหรือไม่สวยนั้น ไม่ได้เป็นสาระ แต่สาระที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดจะอยู่ตรงที่ว่า ใครเป็นคนจารต่างหาก คนจารสวยร้อยคนพันคน แต่ไม่ใช่สายตรงจะมีประโยชน์และมีคุณค่าเทียบเท่ากับพี่ซึ่งเป็นสายตรงของหลวงปู่ทิมอย่างไรได้.. ”
“เอางั้นหรือ.. ”
“เอาสิครับ...”ผู้เขียนสรุป ”ถ้าพี่ยังเกรงๆที่จะใช้กำลังตนเองจาร พี่ก็โยงสายสิญจน์จากรูปหล่อหลวงปู่ทิมมาพันมือพันเหล็กจาร ลงมือจารพระกริ่งเสมือนกับหลวงปู่ทิมอาศัยมือพี่จารพระกริ่งเองก็ได้นะครับ..”
“เออ..ดี ความคิดเข้าท่าดี ...”ท้ายสุด คุณชินพรก็เออออด้วย “เอาก็เอานะ...”
ว่าแล้ว คุณชินพรก็ลุกขึ้นไปนุ่งขาวห่มขาว ในคอคล้องพระชุดพิเศษของหลวงปู่ทิมที่บางองค์ มีเพียง”หนึ่งเดียวในโลก” ลงมา ก่อนจะทำพิธีจุดธูปเทียนอัญเชิญ ต่อหน้ารูปหล่อเท่าองค์จริงของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แล้วเอาสายสิญจน์ที่โยงจากรูปหล่อมาคล้องคอ แล้วจึงลงมือจารพระกริ่งทั้งหมดอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยมี”ตี๋ดัน”ตัวเอ้(ผู้เขียน) พร้อมด้วยเสี่ยฮง ผู้มอบชนวนพระกริ่งชินบัญชร ถึงเกือบ ครึ่งกิโลกรัมมาหล่อพระกริ่งรุ่นนี้ นั่งคอยส่งพระกริ่งให้”อาจารย์ชินพร”ทำพิธีจารอยู่เคียงข้างโดยตลอดกว่า 3 ชั่วโมงเต็มๆ
และในไม่ช้า หลังจากที่”อาจารย์ชินพร”จารพระกริ่งผ่านไปได้ไม่กี่องค์นั่นเอง สิ่งที่”ไม่ธรรมดา”ก็พลันบังเกิดขึ้นในบัดดล
นั่นก็คือ “อาจารย์ชินพร”มีอาการเหมือนหนึ่ง”ของขึ้น”หรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์”ผ่านญาณ”หรือ”แฝงร่าง”เข้ามาจนมีอากัปกิริยาและน้ำเสียงผิดแผกแปลกไปจากปกติในทันใด..!!!!
จากที่จารไป แล้วภาวนาหัวใจพระคาถาต่างๆไปอย่างเรียบๆ คราวนี้ ใบหน้าเริ่มเคร่งเครียด น้ำเสียงก็เข้มข้นดุดันขึ้นเรื่อยๆ เสียงภาวนาขณะจารอักขระก็ยิ่งดังขึ้นทุกทีๆ
“อิติปิโสวิเสเสอิ”
“พุทธะสังมิ”
“นะชาลีติ”
|