วันนี้ของเอาประสบการณ์ที่เคยรับราชการอยู่หน่วยรบพิเศษ ตำรวจพลร่ม หัวหิน และงานที่เคยปฏิบัติหน้าที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเล่าประสบการณ์ที่เกี่ยวกับวัตถุมงคลที่ผมศรัทธาอยู่มาเล่าให้ฟังครับ
ในช่วงปี2543 ได้มีโอกาสเข้ารับราชการที่หน่วยรบพิเศษ ตำรวจพลร่ม โดยในช่วงปีนั้นจะเป็นการฝึกหลักสูตรพลตำรวจในสมัยนั้นเป็นเวลา 1 ปี ช่วงต้นปี2544 ได้เข้าอบรมหลักสูตรรบพิเศษของตำรวจพลร่ม 3 เดือน จากนั้นเข้าเรียนหลักสูตรการโดดร่มทางยุทธวิธี ช่วงที่ฝึกโดดร่มนั้น การโดดร่มครั้ง 1-3 การโดดร่มผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร แต่การโดดครั้งที่ 4 นั้น ตอนที่โดดออกจากเครื่องบินไม่มีปัญหาอะไร ร่มกลางสมบูรณ์ แต่เมื่อร่มจะตกลงพื้นอีกประมาณ 100 เมตร ด้วยสายตาที่มองลงพื้นคาดคะเนเลยว่าวันนี้ร่มตัวเองไม่ได้ลงในสนามแน่เพราะความจริงนั้นสนามที่โดดร่มปัจจุบันถ้าปล่อยนักโดดร่มนั้น จะต้องปล่อยแค่ 3-4 คนเท่านั้นแต่เนื่องจากงบประมาณน้อยน้ำมันเครื่องบินมีจำกัดต้องปล่อยทีละ 10-13 คน เพื่อลดเที่ยวบิน จึงทำให้นักโดดร่มต้องใช้ความสามารถในการบังคับร่มเพื่อไม่ให้เลยสนานโดด ในใจวันนี้ต้องตกลงต้นไม้หรือหลังคาอาคารแน่น วันนี้ไม่ขาก็แขนหักแน่ๆ ช่วงนั้นใจหายแว๊บขึ้นมา ด้วยจิตใต้สำนึกที่ตัวเองชอบพระเครื่องอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เก็บสะสมเป็นจริงเป็นจังมากนัก ในใจตั้งจิตบอกครูบาดอนตันว่ายังงั้ยช่วยลูกให้ปลอดภัยด้วยแล้วกัน แต่ในคอตอนนั้นยอมรับว่าไม่ได้ห้อยพระอะไรเลยสักองค์ ช่วงที่ร่มตกลงสู่พื้นนั้นน่าแปลกใจที่ร่มตกลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย โดยร่มตกลงไประหว่างต้นมะขามเทศยักษ์และอาคารโรงครัวที่มีช่องๆแคบๆ แต่ร่มตกลงในช่องแคบๆนั้นและตัวผมปลอดภัย ซึ้งทุกวันนี้ยังงงเลยว่าลงไปช่องนั้นได้ยังงั้ย ที่จริงต้องตกใส่หลังคาโรงครัวหรือไม่ก็ต้นมะขามเทศแน่นอน ทุกวันนี้เวลาที่กลับไปเที่ยวหัวหิน เวลาผ่านสนามโดดร่มก็จะมองต้นมะขามเทศต้นนั้นทุกครั้งไป จากเหตุการณ์เล็กๆนี้จึงฝังใจ ทุกครั้งที่โดดร่มในใจตัวเองจะนึกถึงครูบาดอนตันเสมอและในใจคิดเสมอว่าหากมีโอกาสจะหาวัตถุมงคลครูบาดอนตันติดตัวไว้สักองค์หนึ่ง “ อันนี้เรื่องตลกๆของการโดดร่ม ทุกคนที่โดดร่ม ก่อนจะขึ้นเครื่องบินนั้น ครูฝึกก็จะเรียกทุกมายืนเข้าแถว จากนั้นก็จะจับที่หน้าอกของแต่ละคนแล้วจะพูดว่า” พระดีหรือเปล่าว่ะ “ จากนั้นครูฝึกบางคนจะแซวทำนองว่าใครไม่ได้พกพระมาระวังให้ดี ร่มไม่กลางบ้าง จะตกลงน้ำบ้าง ร่มขาดบ้าง (ที่จริงเขาพูดเพื่อทดสอบจิตใจว่า กำลังใจเรายังดีอยู่มั้ย) บางคนขาดความมั่นใจเพราะไม่ได้พกมา จะขอยืมเพื่อน เพื่อนก็ไม่ให้อีก เหตุการณ์อย่างนี้ที่พึ่งจิตใจสำคัญนะครับจะบอกให้ บางคนฉลาดครับ หาอะไรไม่ได้ก็ตัดรูปพระเครื่องในหนังสือพิมพ์นั้นแหละครับพกติดตัว อย่างน้อยก็มีรูปพระแหละนะ “ เมื่อช่วงปี 2544- ต้นปี 2545 ก็ทำงานในหัวหิน แต่ช่วงนั้นเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มรุนแรงมากขึ้น ช่วงปี2545 นั้นถ้าทุกคนยังจำได้ว่า ผู้ก่อการร้ายนั้นจะโจมตีป้อนตำรวจบ่อยมาก และซุ้มยิงสายตรวจของตำรวจ จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้จัดตำรวจพลร่ม 2 กองร้อย ลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ในช่วงปีนั้นถือว่าตำรวจพลร่มเป็นเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางชุดแรกที่ลงไปทำงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และปีต่อๆมาได้จัดเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ช่วงที่ได้ยินข่าวว่าจะเอาตำรวจพลร่ม 2 กองร้อยลงใต้ ในใจคิดว่าจะเป็นกองร้อยไหนนะที่ได้ลง และเดือนมิถุนายน ปี2545 ปรากฏว่ากองร้อยที่ผมประจำอยู่ต้องลงไปปฏิบัติหน้าที่ที่ใต้ชุดแรก ( ตอนนั้นช่อง ไอทีวียังมาทำสกุ๊ปข่าวเกาะติดการทำงานกองร้อยของผมอยู่เลย) ตอนนั้นยังไม่เคยลงไปที่ภาคใต้นั่งคิดอยู่หลายวันว่าภาคใต้เป็นแบบไหน ประมาณอีก 2-3 ก่อนที่ลงใต้นั้นของทุกอย่างเตรียมเรียบร้อย และก่อนที่จะลงไปทำงานนั้นได้โทรศัพท์กลับมาที่น่าน บอกพ่อแม่ญาติพี่น้องว่าจะลงไปใต้และที่สำคัญที่สุดทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “หาครูบาดอนตันติดตัวไปด้วยนะ “ ใจในตัวเองคิดแล้วคิดอีกว่าจะไปหาที่ไหนทัน อีกไม่กี่วันจะไปแล้ว จะกลับบ้านที่น่านไปเอาครูบาดอนตันมาห้อยก็คงไม่ทัน ถ้าไปเอาแล้วที่บ้านจะมีหรือไม่ ก็ไม่รู้เพราะไม่ได้สนใจหิ้งพระที่บ้านเลย สุดท้ายตัดสิ้นใจเป็นงั้ยเป็นกัน เพราะตอนนั้นอายุยังน้อยพึ่ง21ปีและจบมาแค่ปีเดียวไฟกำลังแรงไม่มีเรื่องต้องห่วงหน้าพะวงหลังจึงไม่ได้คิดอะไรมาก และวันเดินทางก็มาถึง เวลาตีสาม ของเดือนมิถุนายน ปี2545 ก็เดินทางจากหัวหินลงใต้ในใจคิดตลอดทางว่าภาคใต้จะเป็นยังงั้ย เหตุการณ์จะเหมือนในข่าวมั้ย ช่วงตอนนั้นเหมือนเด็กที่กำลังจะแข่งขันอะไรสักอย่างแต่ไม่เคยลงสนามจริงเลย เมื่อลงสนามจริงๆจึงตื่นเต้นมากๆ ช่วงลงไปทำงานนั้นไปตั้งฐานที่บ้านมาโมง จังหวัดนราธิวาส ช่วงที่ทำงานนั้นบอกได้คำเดียวว่ามีแต่ใจเท่านั้น เพราะสิ่งที่ยึดเหนียวจิตใจนั้น ในคอไม่มีอะไรเลย อาศัยใจล้วนๆและความไม่ประมาทเท่านั้น และต่อมาทำงานได้ประมาณเดือนครึ่ง ทางผู้บังคับบัญชาเล็งเห็นว่าเหตุการณ์ใต้รุนแรงมากขึ้นจึงเรียกตัวผมและเพื่อนร่วมงานอีกประมาณ 30กลับค่ายที่หัวหิน เพื่อมาให้ฝึกหลักสูตรหน่วยรบพิเศษขนาดเล็กเพิ่มเติมอีกประมาณ 1เดือน ช่วงที่ฝึกเสร็จได้มีโอกาสกลับมาที่น่าน ในใจลึกๆคิดว่าที่บ้านต้องครูบาดอนตันสักองค์แหละ เมื่อกลับมาที่น่าน ข่าวความรุนแรงของภาคใต้ยังมีอยู่ ชาวบ้านที่น่านส่วนใหญ่จะเข้ามาถามหลายอย่าง เช่น มันจริงเหมือนข่าวที่ออกมั้ย , ทำมั้ยไม่จัดการให้เด็ดขาด , ใช้พระดีอะไรหา , ในคอมีอะไรบ้าง, หรือบางคนแนะนำว่าไปหาเหรียญดอนตันรุ่นแรกเน้อหรือพระสามพี่น้อง(ครูบาดอนตัน ครูบาก๋ง ครูบาวง ) ที่จริงแล้วในใจอยากตอบชาวบ้านทุกคนไปว่า บ่มีอะไรสักอย่าง อาศัยใจล้วนๆ เมื่อมาค้นหาพระเครื่องที่บ้านเป็นที่น่าผิดหวังมาก ๆในชีวิต ที่ไม่เจอครูบาดอนตันเลยสักชิ้น ในเมื่อบ้านเราห่างจากวัดดอนตันไม่ถึง 5 กิโลแต่ไม่มีสักอย่าง เมื่อที่บ้านไม่มีจึงพยายามถามหาแถวๆบ้านญาติแต่ก็ไม่มีใครมีเลย ถือว่าเป็นเรื่องน่าตลกปนความน่าเศร้าครับ ในเมื่อวัตถุมงคลครูบาดอนตันนั้นทุกคนแถวๆท่าวังผาจะรู้ดีว่า ข่ามคง มากๆ แต่ที่บ้านไม่มีใครเก็บไว้เลย ในใจคิดในทางบวกอาจเป็นเพราะสมัยนั้นยากจนจึงไม่มีเงินเช่า หรือตอนนี้ไม่รู้จะหาที่ไหนในใจคิดไปต่างๆนาๆ ในเมื่อไม่มีไม่เป็นไร จากเหตุการณ์ที่ครูบาดอนตันช่วยตอนโดดร่มและกลับมาที่บ้านแล้วไม่มีวัตถุมงคลครูบาดอนตันเลย จากวันนั้นเลยตั้งมั่นในใจว่าถ้ามีโอกาสจะต้องบูชาวัตถุมงคลรุ่นแรกและทุกๆรุ่นของท่านให้ได้
เมื่อกลับมาที่หัวหิน ช่วงปลายปี 45 ได้มีโอกาสลงไปทำงานที่ภาคใต้อีกครั้งโดยลงไปทำงานแถวๆบ้านดุชงญอ นราธิวาส ช่วงที่ทำงานนั้นจึงได้เช่าสะสมพระเครื่องอย่างจริงจัง ช่วงแรกๆนั้นจะเช่าพระสายใต้เป็นหลัก ยิ่งตามวัดต่างๆที่มีเกจิดังๆจะตามไปเช่าถึงที่วัดเลยก็ว่าได้ ( หลวงพ่อเขียว วัดห้วยเงาะ , ท่านพล วัดนาประดู่ ,พระยายเขียด วัดยางแดง , หลวงพ่อฉิ้น วัดเมืองยะลา , วัดลำพญา , วัดศรีมหาโพธิ์ หลวงปู่แก้ว วัดสะพานไม้แก่น สงขลา ฯ) ) แต่ในใจลึกๆยังต้องการเหรียญครูบาดอนตัน รุ่นแรกอยู่ แต่ช่วงในการที่แวปพระต่างยังไม่มีมากและยังไม่ค่อยมีวัตถุมงคลของครูบาดอนตันขึ้นตามแวปจะหาเช่าได้ก็ต้องไปในพื้นที่
ช่วงปี 2546 ได้ย้ายฐานไปที่บ้านไอบือแต นราธิวาส
ช่วงปี 2547 ได้ย้ายฐานไปที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ช่วงปี47ถือว่าเป็นช่วงที่ว่าเหตุการณ์ภาคใต้เริ่มใช้วัตถุระเบิดมากขึ้น และซุ้มยิงมากขึ้น การตัดหัวเจ้าหน้าที่ยังไม่มี ช่วงนั้นถือว่าระเบิดอันตรายมากๆเพราะเราไม่สามารถรู้เลยว่า เขาวางไว้ตรงไหน ได้แต่เฝ้าระวังสายตาต้องดูสิ่งผิดปรกติ ถังขยะ,รถมอเตอร์ไซค์,รถยนต์,กระถางดอกไม้, ศาลาริมทาง ผมจะไม่เข้าใกล้โดยเด็ดขาด ตอนนั้นถือว่าระวังตัวมากๆ ยอมรับเลยว่าไปไหนพระเต็มคอ ตำรวจทหารชาวบ้านคนไหนที่โดนยิงโดนระเบิดแล้วไม่เป็นไรก็ต้องไปสืบถามว่ามีของดีอะไรติดตัว ตัวเองและเพื่อนๆก็จะไปเช่าหาไปหากัน ช่วงปีนั้นถือว่าสนุกครับเพราะเพื่อนๆร่วมงานหลายคนคอเดียวกันคือชอบพระเครื่องเวลาออกลาดตระเวนก็จะไปแวะตามวัดต่างๆด้วยแลกเปลี่ยมประสบการณ์กับตำรวจทหารหน่วยอื่นๆบ้าง
ช่วงปี 2548 ได้ย้ายฐาน ไปที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา
และปี 2549 ได้ย้ายฐานกลับมาที่อำเภอยะหา ยะลา อีกรอบ รอบนี้แหละครับที่ได้มีโอกาสไปขุดหลวงปู่ทวดวัดยะหา ที่กรุแตก เรื่องนี้ผมเคยเขียนลงหน้าร้านอยู่หลายครั้งและเริ่มศึกษาหลวงปู่ทวดวัดนี้ และเป็นช่วงที่แถบๆอำเภอบันนังสตาเริ่มมีเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น
ช่วงปี 2550 ได้ย้ายฐานไปประจำที่บันนังสตาแถวๆเขื่อนบางลาง ช่วงปี50-53 ถือว่าเป็นปีที่ตัวเองประสบกับเหตุการณ์ที่คลาดแคล้วอยู่เป็นประจำ
เหตุการณ์แรกที่ไม่ลืมเลย ช่วงที่อยู่บันนังสตานั้นเวลาจะออกไปซื้ออาหารนั้นต้องไปซื้อที่ตัวเมืองยะลาซึ้งจะอยู่ห่างจากฐานที่อยู่ประมาณไปกลับ 150 กิโลเมตรเพราะถือว่าปลอดภัย(มั่ง ) และต้องซื้อจำนวนมากจึงเลือกที่ตลาดสดยะลา ในช่วงที่อยู่ที่บันนังสตานั้นถือว่าเช่าวัตถุมงคลครูบาดอนตันและสายเมืองน่านเก็บไว้มาก ( พี่ๆน้องๆแวปน่านคงจะจำได้ว่าผมได้ประกาศของซื้อเหรียญครูบาไผ่รุ่นแรก ครูบาก๋ง รุ่นแรก เพื่อเข้าชุดกับครูบาดอนตันรุ่นแรกเพราะจะลงแขวนลงใต้แต่ก็ไม่มีใครให้เช่าต่อเลย) จำได้ว่าเงินเดือนและเบื้ยเลี้ยงได้มาเท่าไหร่เช่าพระหมด และแล้วครูบาดอนตันรุ่นแรกจำนวน 2 เหรียญก็ได้นิมนต์ท่านลงใต้ โดยจำได้อย่างแม่นยำว่า ขอเช่าจากร้าน เชตุพล หรือไก๋ เมืองปัว ราคาตอนนั้น 2 เหรียญหนึ่งหมื่นหนึ่งพันบาท แล้วเมื่อได้มาได้เลี่ยมทองไว้ 1 องค์และ เลี่ยมขึ้นคอลงใต้ 1 องค์ตอนนั้นดีใจมากๆช่วยเพิ่มความมั่นใจและไม่ให้ตัวเองขาดสติเวลาออกทำงาน (อย่างที่ตำรวจทหารมักแซวๆกันว่า ออกลาดตระเวนลืมเสื้อเกราะดีว่าลืมพระ) อย่างที่เราๆท่านๆมักจะได้ยินอยู่เสมอว่าครูบาดอนตันท่านมักจะลองของ และแล้วท่านก็ลองของจริงๆ ช่วงที่ได้ซื้ออาหารแถวๆตลาดสดยะลานั้นเกือบทุกอาทิตย์ที่จะมีเหตุการณ์ที่คนร้ายซุกระบิดไว้ตามแผงแม่ค้าบ้าง ตามถังขยะบ้าง ใช้มอเตอร์ไซค์ทำระเบิดบ้าง ทุกๆวันพ่อค้าแม่ค้าจะได้ยินข่าวลืออยู่เสมอว่าวันนี้จะมีระเบิดที่ตลาด แรกๆ ทุกคนที่ซื้อของในตลาดต่างก็รู้สึกกลัวแต่ตอนหลังๆมาเริ่มชินแล้วเพราะยังงั้ยก็ต้องวัดดวงว่าจะระเบิดตรงไหน
วันที่เกือบโดนระเบิดนั้น ช่วงเวลาเช้าที่ตลาดก็จะวุ้นวายคนร้ายมักใช้โอกาสนี้นำรถที่ประกอบระเบิดแล้วมาจอดทิ้งไว้บ้าง ตอนนั้นกำลังเดินเข้าตลาดอีกประมาณ 50 เมตร ข้างหน้าผมมีทหารจากหน่วยอื่นประมาณ 4-5คนเดินนำหน้าผมไปก่อน เมื่อทหารถึงทางเข้าพอดีเสียงระเบิดก็ดังขึ้นทหารที่เดินนำหน้าผม ล้มระเนระนาดหมดส่วนตัวผมยังงงกับเหตุการณ์ เมื่อได้สติในใจคิดว่าครูบาดอนตันท่านลองของกูเปล่าวะ สักครู่รถรพ. ,รถมูลนิธิ ก็มาช่วยเหลือทหารส่งรพ ทราบภายหลังบาดเจ็บว่าทหารสาหัส 1 นาย โดยคนร้ายนำระเบิดใส่ถุง และนำขยะใส่ร่วมกันกับระเบิดซึ้งดูทำให้เหมือนเป็นถุงขยะ จากนั้นคนร้ายขับมอเตอร์ไซค์แกล้งทิ้งถุงขยะลงข้างถังขยะ แล้วขับรถหนี จากนั้นรอเจ้าที่เดินผ่านแล้วกดระเบิดครับ (คิดเล่นๆในใจว่า ถ้าเดินไวอีกนิดคงได้สะเก็ดระเบิดเต็มตัวแน่ๆ)
ช่วงปี 2550-2553 นั้นถือว่าปักหลักอยู่ที่เขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา เนื่องจากพื้นที่นี้ถือว่าเป็นจุดที่ผู้ก่อความไม่สงบก่อเหตุมากที่สุดและอำเภอบันนังสตานั้นยังเป็นจุดผู้ก่อความไม่สงบกระทำความผิดแล้วหลบหนีออกได้หลายเส้นทาง ซึ้งเหตุการณ์ที่ดังๆของบันนังสตานั้นคือ ซุ้มยิงทหารเสียชีวิต 7 นาย , ยิงแล้วเผาชาวบ้านทั้งครอบครัว , ซุ้มยิงทหารแล้วตัดหัว , ซุ้มยิงผู้กองแคนที่เนินเนาวรัตน์ , ซุ้มยิงหมวดตี่ที่สันเขื่อนบางลาง ,ฮ.ตำรวจตกลงเขื่อน , ฮ.ทหารตกลงป่าบันนังสตา ฯ
หากพูดถึงอำเภอบันนังสตาแล้วหลายคนต้องรู้จักบุคคลทั้งสามคนนี้ คือ ผู้กำกับเพียร ผู้กองแคน หมวดตี๋ ซึ้งทั้งสามนายนี้เกี่ยวข้องกับอำเภอบันนังสตาทั้งสิ้น โดยส่วนตัวแล้วผมและผู้กำกับเพียรนั้นร่วมงานเพียงครั้งถึงสองครั้งเนื่องจากอยู่คนละหน่วยงานกัน ส่วนผู้กองแคนนั้นทำงานอยู่หน่วยเดียวกันแต่อยู่คนละกองร้อยจึงไม่ค่อยได้ร่วมงานกัน ส่วนหมวดตี๋นี้อยู่กองร้อยเดียวกันและเป็นหัวหน้าชุด จึงค่อนข้างสนิทกันมาก ช่วงที่อยู่ฐานด้วยกัน บ้างครั้งผมจะนั่งเล่นเน็ตดูแวปพระเครื่อง หมวดตี๋ก็สนใจอยู่บ้าง มักจะถามผมเรื่องพระเครื่องเสมอ ซึ้งผมมักจะบอกบ่อยๆว่า หมวดหาพระดีๆห้อยคอบ้างนะครับ พวกเราทำงานอย่างนี้หาของดีติดตัวบ้างก็ดี มีอยู่วัหนึ่งหลังจากที่หมวดกลับจากพัก หมวดตี๋ก็เอาพระมาให้ผมดู 3 อย่าง มีพระปิดตา หลวงปู่ทวด ตะกรุด (ไม่ขอบอกว่าวัดไหนนะครับเพราะตอนหมวดเสียชีวิตของสามชิ้นอยู่ในคอท่านครับ )ซึ้งผมดูสองอย่างแล้วเป็นพระใหม่ทั้งหมด ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นพระปิดตาซึ้งผมมองแล้วไม่น่าแท้ แต่ผมก็บอกไปว่าห้อยคอไว้หมวดดีกว่าไม่มีอะไร
ช่วงที่ปี2550 เป็นต้นมาผู้ก่อความไม่สงบ โจมตีตำรวจและทหารแล้วหากมีโอกาสก็จะตัดหัวไปด้วย ซึ้งเป็นการกระทำที่ข่มขวัญตำรวจทหารซึ้งมีผลทางด้านจิตใจ ซึ้งส่วนตัวแล้วมักเจอภาพแบบนี้ตลอดเวลา และอยู่ทำงานที่ใต้ยาวนานจึงเกิดความเหนื่อยล้า ยอมรับเลยว่าช่วงนั้นจิตใจอ่อนแอมาก เพราะทุกๆวันเจอแต่ภาพเดิมๆ นึกถึงรุ่นปู่ รุ่นอา รุ่นพ่อที่เคยไปรบแล้วบ้างคนบ้าสงคราม กลัวเสียงดัง วันนี้จึงมารู้ว่าเป็นแบบนี้นี่เอง ช่วงตอนกลางคืนเวลานอนยังละเมอว่ามีผู้ก่อความไม่สงบถือมีดมาตัวหัวตัวเอง เมื่อเป็นบ่อยเข้า จึงบอกกับตัวเองว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แล้ว มีอยู่คืนหนึ่งตั้งจิตอธิฐานเลยว่าขอให้ครูบาดอนตันปกป้องคุ้มครองให้เหตุการณ์ร้ายๆนี้ผ่านไปด้วยดี แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นตอนดึกจำได้ว่าภาพครูบาดอนตันเดินถือไม้เท้าเข้ามาหาแล้วยิ้มให้ ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากๆแล้วบอกท่านไปว่าตอนนี้กลัวมากๆช่วยลูกด้วย แล้วท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก แล้วท่านก็หายไป ช่วงตอนเช้าของวันศุกร์(วันที่ตำรวจทหารกลัวที่สุดเพราะอะไรนั้นถามคนที่อยู่ใต้นานๆแล้วจะรู้) ต้องออกลาดตระเวนเส้นทางบางลาง เพื่อตรวจรูระเบิดข้างเส้นทางและคุ้มครองชุดคุ้มครองครู และแล้วเช้าวันนั้นก็เกิดเรื่องจนได้ครับ ช่วงที่ผมกับชุดลาดตระเวนขับรถผ่านไปตามเส้นทางที่รับผิดชอบ ช่วงขาไปไม่ปัญหาอะไรแต่ช่วงขากลับเข้าฐาน ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้ผมและทีมงาน เพราะตอนแรกพูดกับทีมงานว่ากลับเลยเพราะไม่มีอะไรต้องทำแล้วแต่คิดยังงั้ยไม่รู้ เลยบอกทีมงานว่ารอดูเส้นทางอีกแป๊บก็แล้วกัน สักพักชุดคุ้มครองครูอีกหน่วยหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ 4 คัน 8 คน ขับผ่านหน้าพวกผมไป พักเดียวเท่านั้นแหละครับ ชุดที่ขับผ่านผมไปนั้นโดนซุ้มโจมตี โดยมอเตอร์ไซค์ที่ขับคันสุดท้ายของขบวนถูกผู้ก่อความไม่สงบรุมยิงจนทหารเสียชีวิต 2นายแล้วยังตัดหัวไปด้วย ช่วงที่เกิดเรื่องพวกผมไม่สามารถเข้าไปช่วยได้เนื่องจาก ทุกครั้งที่มีเหตุแบบลักษณะนี้ผู้ก่อความไม่สงบจะตัดต้นไม้ขว้างทางหรือไม่ก็กล่องระเบิดปลอมวางหลอกบนถนนหหรือวางตะปูเรื่องใบ เหตุการณ์ลักษณะนี้แหละครับที่เกิดความสูญเสียเพราะเราเข้าช่วยไม่ได้เพราะผู้ก่อความไม่สงบจะสกัดเราไว้ไม่ให้เข้ามาช่วย จึงมีโอกาสตัดหัวหรือเก็บอาวุธไปด้วย
เมื่อมานั่งทบทวนเหตุการณ์แล้วในใจคิดว่าอะไรมาดลใจให้พวกเรายังไม่กลับเข้าฐาน ถ้าวันนั้นกลับเข้าฐานก่อนคงได้ปะทะกันเละแน่ๆ ซึ้งตัวเองเมื่อคืนยังฝันถึงครูบาดอนตันอยู่เลย คิดแล้วท่านคงช่วยเราอยู่แน่ๆเหมือนกับท่านมาเตือนสติว่าพรุ่งนี้จะมีเหตุการณ์ร้ายๆเข้ามาครับ
ช่วงที่ทำงานอยู่ใต้ทุกๆปีก็ต้องมาโดดร่มทบทวนที่หัวหินอยู่ทุกปี ซึ้งเหตุการณ์เกิดกับการโดดร่มครับ ก่อนที่วันที่โดดร่มมีการจัดรายชื่อลำดับการโดดร่มว่าจะโดดร่มเที่ยวบินไหน ซึ้งจำได้ว่าเป็นช่วงปลายปีซึ้งเป็นช่วงที่ลมแรงมากๆ วันแรกของการโดดร่มทบทวนนั้นชื่อผมอยู่เที่ยวบินแรก และแล้วเช้าต่อมาลมค่อนข้างแรงจึงปล่อยนักโดดช่วงเช้าไม่ได้ จึงต้องรอถึงช่วงบ่ายจึงทำการโดดได้ ช่วงที่จัดเที่ยวบินก่อนโดดนั้นตอนแรกชื่อผมต้องโดดชุดแรก แต่วันนั้นทางผู้ควบคุมการโดดขออาสามัคร 1 นายลงโดดเที่ยวที่ 2 ไม่รู้ว่าวันนั้นมีอะไรมาดลใจจึงขออาสามัครไปโดดเที่ยว 2 เมื่อทำการโดดเที่ยวแรกนักโดดๆออกเครื่องเรียบร้อย ต่อมาเครื่องบินเตรียมที่ปล่อยเที่ยวที่สองที่ผมจะโดดด้วย แต่ผู้ควบคุมการปล่อยนักโดดบอกให้นักบิน บินวนอีกรอบ แล้วผู้ควบคุมนักโดดสามคนปรึกษากันเงียบๆ เมื่อผมดูสีหน้าแต่ละคนแล้ว คงมีเรื่องอะไรแน่ๆ และแล้วผู้ควบคุมการโดดสองคนตะโกนบอกนักโดดว่าตอนนี้ลมแรงแต่เราโดดมาเยอะต้องใช้ความชำนาญมากหน่อย (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเที่ยวบินแรกที่ปล่อยลงไปนั้นโดดลงน้ำเกือบทั้งหมดเลยซึ้งบ่อที่ตกลงไปลึกมากๆ ซึ้งประวัติบ่อนี้มีนักโดดลงน้ำแล้วร่มพันตัวเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 คน แล้วพวกที่ไม่ตกลงน้ำก็ลงพื้นลมกระชากร่มทำให้ขาหักไป 1 คน ไหล่หลุดอีก 1 ) และแล้วผู้ควบคุมการโดดที่อาวุโสสุดก็เดินบอกว่าให้นักบินบินกลับสนามบินวันนี้เที่ยวบินที่สองไม่ต้องทำการโดด ซึ้งผมแปลกใจมากในเมื่อผู้ควบคุมการโดด 2 คน สั่งให้โดดแต่วินาทีสุดท้ายผู้ควบคุมการโดดที่อาวุโสสุดเข้ามาห้ามแล้วให้นักบินบินกลับสนามบิน เมื่อสอบถามภายหลังได้ความว่า พวกที่โดดเที่ยวแรกนั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมากซึ้งในใจคิดแล้วว่าอะไรน่ะที่มาดลใจ ขอโดดเที่ยวที่สองไม่งั้นคงได้รับบาดเจ็บแน่ๆ และที่เที่ยวสองผู้ควบคุมการโดดไม่ยอมปล่อยนักโดดนั้น ผมไปถามผู้ควบคุมการโดดที่สั่งห้ามวินาทีสุดท้ายว่าทำไมไม่ให้โดด ผู้ควบคุมการโดดเล่าให้ฟังว่าตอนแรกตกลงกับผู้ควบคุมที่เหลือทั้งสองคนแล้วว่าปล่อยนักโดดได้ แต่มีอะไรมาดลให้ยังงั้ยไม่ทราบวินาทีสุดสั่งระงับ ถ้าวันนั้นถ้าผู้ควบคุมการฝึกไม่มาระงับก่อน ถ้าโดดลงไปเผมรับรองว่านักโดดทั้ง 12 คนนั้นตกทะเลแน่นอนครับ (ปัจจุบันนี้ผู้ควบคุมการโดดที่สั่งระงับไว้ ตอนนั้นปัจจุบันท่านได้เสียชีวิตเนื่องจากโดดร่มดึงพสุธาแล้วร่มเกิดขัดข้องร่มไม่กลางจึงตกลงที่สระน้ำเสียชีวิตครับ) ทุกๆครั้งที่ร่มจึงต้องนิมนต์ครูบาดอนตันขึ้นเครื่องเสมอเพราะมีท่านแล้วอุ่นใจดีครับ เพราะท่านช่วยให้แคล้วคลาดอยู่เสมอ “ เมื่อจิตใจเรามั่นคง สติจึงเกิดขึ้น ความไม่ประมาทก็จะไม่มีครับ “
เมื่อปักหลักทำงานที่อำเภอบันนังสตาแล้ว ช่วงที่มีการซุ้มโจมตีหมวดตี๋นั้น วันนั้นก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่คลาดแคล้วมาได้เพราะ วันที่เกิดนั้นผมและเพื่อนๆหลายคนกลับจากพักตามวงรอบที่หัวหิน และเช้าวันต่อมาก็เดินทางมาถึงตัวเมืองยะลา ซึ้งชุดที่จะรับเข้าฐานนั้นคือชุดคุ้มครองพวกที่กลับจากพัก ซึ้งวันนั้นจำได้ภารกิจของหน่วยตัวเองนั้นมี 3-4 ภารกิจซึ้งต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ออกเป็นหลายชุด ที่จำได้มีภารกิจคุ้มครองครูเส้นทางบันนังสตา เพราะเป็นวันศุกร์, ภารกิจคุ้มครองชุดที่กลับจากพักและภารกิจส่งผู้บังคับเข้าร่วมประชุม (ชุดนี้มีหมวดตี๋รวมอยู่ด้วย) ซึ้งเมื่อภารกิจมีหลายอย่างจึงจำเป็นต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ไปงานต่างๆที่ได้รับมอบหมายจึงทำให้เจ้าหน้าที่แต่ละชุดมีจำนวนคนน้อยลง วันเช้าที่มีการซุ้มโจมตีนั้นผมบอกได้เลย วันนั้นพวกผู้ก่อความไม่สงบมุ่งซุ้มโจมตีเป้าหมายคือตำรวจพลร่มแน่นอน เพราะวันที่เกิดเหตุนั้นจุดที่ผู้ก่อความสงบซุ้มอยู่เส้นทางนั้น มีรถขบวนทหารลาดตระเวนผ่านเส้นทางนั้นโดยลาดตระเวนผ่านจุดที่ผู้ก่อความไม่สงบซุ้มอยู่ แต่ผู้ก่อความไม่สงบกลับไม่ซุ้มโจมตี กลับให้ขบวนทหารผ่านไปโดยไม่ได้ซุ้มโจมตีอย่างใด แต่เขารอซุ้มโจมตีชุดตำรวจพลร่มเท่านั้น ซึ้งเขารอชุดตำรวจพลร่มทั้งสามชุดที่ออกทำงาน หากชุดไหนมาถึงจุดที่ซุ้มก่อนก็จะจัดการโจมตี วันนั้นชุดคุ้มครองครูตอนแรกจะลาดตระเวนคุ้มครองเส้นทางช่วงเช้าแต่เนื่องจากครูยังกำลังสอนหนังสือเด็กอยู่จึงทำให้ครูกลับช่วงบ่ายชุดลาดตระเวนชุดนี้จึงต้องออกทำงานช่วงบ่าย ชุดนี้ถือว่ารอดจากการซุ้มแน่นอน เหลืออีกสองชุดที่เหลือคือชุดหมวดตี๋และผบ.ร้อยที่เข้าไปประชุมที่ยะลา และชุดของผมที่จะกลับจากยะลาเข้าฐาน ซึ้งสองชุดนี้ใครที่มาก่อนจุดซุ้มของผู้ก่อความไม่สงบก่อนนั้นต้องโดนปะทะแน่นอน วันนั้นเมื่อผมและชุดคุ้มครองตกลงกันว่า ให้ชุดคุ้มครองแยกไปรับมอเตอร์ไซค์ใหม่ที่ธารโตแล้วให้ผมกับเพื่อนตำรวจรุ่นเดียวกันและพี่อีกคนขับรถยนต์ที่บรรทุกน้ำมันซึ้งใส่ถัง 200ลิตรอยู่ 2 ถัง ให้ล่วงหน้าที่บนเนินสันเขื่อนบางลาง(ตรงที่หมวดตี๋โดนซุ้มนั้นแหละครับ) ซึ้งจุดที่ตกลงจะไปนัดพบเป็นจุดที่พวกก่อความไม่สงบไม่น่าจะใช้เป็นจุดซุ้มโจมเลย เพราะจุดนั้นห่างจากฐานทหารพรานเพียง 200 เมตรเท่านั้นเอง แต่จุดนัดพบจะเป็นเนินเขาที่สูง ส่วนฐานทหารพรานที่ห่างออกไป 200 เมตรนั้นอยู่ตีนเขาซึ้งจะอยู่ต่ำกว่า ซึ้งทุกคนบอกได้เลยว่าคาดไม่ถึง ไม่นึกไม่ฝันที่พวกเขากล้ามาซุ้มที่นี่ เมื่อตกลงกันตามที่ว่าไว้ ผมและเพื่อนกับพี่อีกคนรวมสามคนจะขับรถยนต์มุ่งหน้าไปจุดนัดพบก่อนซึ้งทั้งสามคนมีปืนรวมกันแล้วเพียงสามกระบอกเอง ( ซึ้งตอนนั้นหมวดตี๋ยังไม่ออกจากฐาน) ตอนนั้นผมกับเพื่อนนั่งบนถังน้ำมัน 200ลิตรที่ท้ายรถและมีพี่เป็นพลขับ กะว่าทั้งสามคนจะล่วงหน้าไปก่อน แต่ด้วยมีสิ่งมาดลใจงั้ยไม่ทราบ ผมและเพื่อนๆกระโดดลงจากท้ายรถแล้วไปบอกพี่คนขับรถให้รอพวกชุดคุ้มครองกลับจากไปเอามอเตอร์ไซค์ที่ธารโตดีกว่าเพราะหลังรถมีน้ำมัน ไปคันเดียวอันตราย เมื่อตัดสินรอ อีกประมาณ 20 นาทีต่อมาชุดของหมวดตี๋ก็ออกจากฐานที่บันนังสตาแล้วเกิดเหตุปะทะจนทำให้ผู้หมวดตี๋เสียชีวิตตามข่าว ซึ้งผมและเพื่อนนั่งมองหน้ากัน แล้วพูดบอกกันว่า ถ้าเราสามคนไม่ตัดสินใจรอ เดินทางล่วงหน้าไปก่อนที่ชุดหมวดตี๋ มีหวังโดนตัดหัว แล้วมันคงเอาน้ำมันที่หลังรถมาเผาเราทั้งสามพร้อมกับรถเป็นแน่ ขนาดชุดของหมวดตี๋มีคนตั้งหลายนายเมื่อปะทะแล้วยังต้องเสียเปรียบ ถ้าเราไปถึงก่อนหมวดตี๋ซึ้งมีแค่สามคนมีหวังจบชีวิตแน่ ตอนนั้นผมหยิบเหรียญครูบาดอนตันแล้วยกขึ้นท่วมเลยก็ว่าได้ที่ท่านพาให้คลาดแคล้ว (เพื่อนผมคนที่กระโดดลงรถพร้อมกับผมนั้น ช่วงที่ผู้กองแคนโดนยิงเสียชีวิต เพื่อนผมคนนี้แหละครับที่อยู่ในเหตุการณ์การปะทะในครั้งนั้นด้วย) เมื่อเกิดเหตุปะทะพวกผมไม่สามารถเข้าไปช่วยหมวดตี๋ได้เพราะอาวุธและสิ่งๆต่างไม่พร้อมเนื่องจากว่าพึ่งกลับจากพัก ดีที่ทหารพรานที่ตั้งฐานที่ห่างจุดปะทะเข้าช่วยและชุดของผมที่ฐานซึ้งจะไปลาดตระเวนคุ้มครองครูช่วงบ่ายเข้าช่วยแต่ก็ไม่สามาถช่วยชีวิตหมวดตี๋ได้ทันเพราะหมวดเสียชีวิตตั้งแต่กระสุนชุดแรกที่ยิงเข้าใส่ครับ
เมื่อผมทำงานอยู่ภาคใต้หลายปี เมื่อมีภารทางครอบครัวเริ่มหวงหน้าพะวงหลังการทำงานที่เคยสนุกไม่ค่อยกลัวกับเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มนึกถึงตัวเองและคนข้างหลังมากขึ้น ถึงเวลาที่เราต้องย้ายกลับบ้านเกิด อย่างที่สุภาษิตกล่วงไว้ คลื่นลูกใหม่มาย่อมกลบคลื่นลูกเก่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ให้น้องๆรุ่นใหม่ๆมาหาประสบการณ์ที่ใต้บ้าง แต่การที่จะย้ายจากหน่วยรบกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะรัฐบาลลงทุนฝึกบุคคลเหล่านี้ด้วยงบประมาณที่มากมายจึงเป็นการยากที่ผมจะได้ออกย้ายจากหน่วย ถ้าอายุไม่แก่หรือบาดเจ็บจนทำงานไม่ไหวจึงจะย้ายออกได้ ซึ้งเรื่องนี้ผมเข้าใจดี เมื่อกลับมาที่น่านจึงเดินทางไปที่วัดดอนตัน ถ้าใครที่เคยไปคงเห็นรูปปั้นครูบาดอนตันที่อยู่ศาลาเล็กๆ เมื่อเข้ากราบรูปปั้นครูบาดอนตันในใจตั้งจิตอธิฐานได้กล่าวบอกท่านว่า ถ้าได้ย้ายกลับมาที่น่านจะขอบวช 1 พรรษาเพื่อทดแทนคุณพ่อแม่และคุณของครูบาดอนตัน หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน เรื่องย้ายและเรื่องบวชที่ผมทำไว้ ไม่น่าเชื่อว่าคำสั่งย้ายกลับน่านและคำสั่งให้บวชออกพร้อมกัน ซึ้งหากใครอยู่วงการตำรวจแล้วจะรู้ว่าตำรวจพลร่มเป็นหน่วยที่ย้ายออกยากที่สุด เพราะอะไรนั้นอย่างที่ผมกล่าวไว้เบื้องต้นครับ
เมื่อกลับมาอยู่น่านช่วงที่บวชนั้น โดยส่วนตัวแล้วผมจะนับถือครูบาดอนตัน ครูบาก๋ง และเกจิอีกหลายท่าน ช่วงก่อนที่จะอยู่น่านนั้นถ้ามีโอกาสก็จะไปกราบอัฐิครูบาก๋ง ที่วัดศรีมงคลอยู่เสมอ ช่วงที่บวชนั้นมีน้องๆได้นำเหรียญครูบาก๋ง รุ่นแรกที่ออกวัดต้นฮ่าง มาให้เช่าต่อซึ้งตัวเองชอบเก็บสะสมอยู่แล้ว แต่ด้วยมีพี่ๆในวงการยังไม่มีเหรียญครูบาก๋ง ออกวัดต้นฮ่าง ช่วงที่บวชอยู่นั้นจึงแบ่งให้บูชาไป พอตกกลางคืนช่วงที่จำวัดอยู่นั้น ภาพแรกที่เห็นคือครูบาก๋ง มายืนต่อหน้าแล้วพูดว่า “ มาขออยู่ด้วยแต่เอากั๋นไปขายเสียน้อ “ ซึ้งตกใจมากที่ท่านมากล่าวตำหนิ ตั้งแต่นั้นมาส่วนใหญ่แล้ววัตถุมงคลครูบาก๋ง ถ้าได้มาแล้วส่วนใหญ่มักจะเก็บไว้เสมอครับ ปัจจุบันนี้จะเดินทางจะทำอะไรต้องนิมนต์ครูบาดอนตันและครูบาก๋งเสมอครับ จากเหตุการณ์ต่างๆหลายเหตุการณ์ที่เล่ามาและที่หลายเหตุการณ์ณ์ที่ไม่สามารถเล่าได้ จะเป็นเพราะความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณคิดจะสมพระเพื่อนำไปใช้หรือว่าอะไรแล้วแต่ ถ้าคุณศรัทธาแล้ว ตั้งใจระลึกถึงท่านไว้ แล้วท่านจะมาโปรดและคุ้มครองเองครับ
ภาพแรกวันนี้เลยจะขอพูดเรื่องลูกอมเทียนชัยครูบาดอนตันก็แล้วกันนะครับ เพราะผมลืมเรื่องลูกอมเทียนชัยว่าจะเขียนลงหน้าร้านเพื่อเป็นวิทยาทานในการตัดสินใจเช่าหากันเพราะว่าระยะหลังมานี้มีหลายคนอยากได้ลูกอมเทียนชัยในพิธีกันมาก ผมขอเป็นการแนะนำแนวทางเพื่อใช้เป็นหลักในการเช่าหาก็แล้วกันนะครับ
ลูกอมเทียนชัยนั้นผมแยกเป็นสองประเด็นดังนี้ครับ ลูกอมเทียนชัยครูบาดอนตันนั้นเกิดจากการที่นำขี้ผึ้งจากเทียนชัยที่จุดในพิธีการปลุกเสกพระเครื่องของท่าน แล้วลูกศิษย์ได้นำขี้ผึ้งมาปั้นเป็นลูกกลมๆ บางลูกจะปิดทองคำเปลวแต่ส่วนใหญ่ที่พบเห็นจะปิดทองคำเปลว แต่บางลูกไม่ได้ปิดทองคำเปลวก็มี แล้วได้มีการนำไปเลี่ยมพลาสติกแล้วนำออกบูชา และบางคนที่อยู่ในพิธีก็ได้ลูกอมเทียนชัยไปก็ไม่ได้นำไปเลี่ยมพลาสติกจากวัดก็มี ลูกอมที่เลี่ยมพลาสติกมีวิธีพิจาณาได้พอที่ผมได้สังเกตคือ ขี้ผึ้งต้องตายแห้ง พลาสติกต้อง........และตรง........ ที่ผมเว้นไว้คือจุดตายของการดูลูกอมเทียนชัยที่เลี่ยมมาเดิมๆ ที่ผมจุด...ไว้นั้นผมไม่ขอเปิดเผยเนื่องจากเป็นจุดตาย ถ้าบอกไปแล้วต้องมีพวกหัวใสนำขี้ผึ้งเก่าๆไปเลี่ยมแล้วมาหลอกขายอย่างแน่นอน ถ้าบอกหมดไม่เก็บไว้บ้าง ถ้าพวกทำเก๊ขึ้นมาจะยุ้งยากต่อไปภายหน้า ให้ท่านสังเกตการเลี่ยมในสมัยก่อนกับปัจจุบันแตกต่างกันอยู่นิดเดียว เพราะถ้าเลี่ยมจากวัดมาเดิมๆๆนั้น เมื่อท่านดูเป็นผมแนะนำให้เช่าหากันได้ (มาสอบถามเป็นกา |