ส่วนมากจะเขียนว่าพระควัมปติหรือพระควัมบดี ตามประวัติก็คือ หลังจากพระควัมปติทราบข่าวว่าสหายที่ชื่อว่าพระยสะได้ออกบวชและได้ดวงตาเห็นธรรม จึงมีความประสงค์ที่จะได้เห็นธรรมนั้นบ้าง จึงพร้อมกับสหายอื่นๆได้ไปหาพระยสะ และพระยสะก็พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและทูลขอให้พระองค์ทรงสั่งสอน ทำให้
พระควัมปติและสหายได้เกิดปัญญา คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดก็มีความดับไปเป็นธรรมดา จึงได้ทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุ (เอหิภิกขุอุปสัมปทา) และต่อมาก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระควัมปติเป็นผู้ที่ได้รับยกย่องจากเทวดาและพระภิกษุทั้งหลายในเรื่องของฤทธิ์เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าได้ให้พระควัมปติเถระห้ามกระแสน้ำสรภูไม่ให้ไหลทะลักเข้ามาทำความเดือดร้อนแก่หมู่พระสงฆ์ อ้างอิงตามคำแปลพระคาถาที่ว่า "พระควัมปติที่ห้ามแม่น้ำสรภูไว้ด้วยฤทธิ์ย่อมเป็นผู้ไม่ติดอยู่ในกิเลสตัณหาสิ่งใด เป็นผู้ไม่หวั่นไหว เป็นผู้ล่วงเสียซึ่งเครื่องขัดข้องทั้งปวง เป็นนักปราชญ์ใหญ่ เป็นผู้ข้ามภพได้แล้ว เป็นที่นอบน้อมของเทพยาดามนุษย์ทั้งหลาย”
ส่วนเรื่องของพระมหากัจจายนะเถระหรือที่เรามักเรียกว่าพระสังกัจจาย์นั้น มีว่า ท่านเป็นผู้มีรูปร่างสง่างามผิวเหลืองดั่งทองเป็นที่ต้องตาถูกใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป เป็นเหตุให้บุตรเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่าโสเรยยะ ได้เห็นพระมหากัจจายนะขณะกำลังยืนห่มจีวรแล้วเกิดจิตอกุศลว่า “งามจริงหนอ พระเถระรูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเรา หรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้” ทำให้โสเรยยะกลับเพศจากชายเป็นหญิงในทันที เป็นที่อับอายจนต้องหลบหน้าผู้คน และต่อมาได้ไปมีสามีจนมีบุตร ๒ คน ในภายหลังโสเรยยะในรูปของสตรีก็ได้ไปกราบขอขมาโทษซึ่งพระมหากัจจายนะเถระก็ยกโทษให้ เพศหญิงจึงได้กลับมากเป็นเพศชายดังเดิม และโสเรยยะก็เกิดศรัทธาขอบวชและก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องที่ว่าพระมหากัจจายนะท่านเป็นผู้มีรูปลักษณ์คล้ายพระพุทธเจ้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ พอเห็นพระเถระเดินมาแต่ไกลก็พากันคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วพากันทำการสรรเสริญกราบไหว้ พระเถระจึงเห็นว่าไม่บังควรและเป็นโทษ จึงอธิษฐานจิตเนรมิตร่างกายให้เปลี่ยนรูปเป็นเตี้ยอ้วนพุงพลุ้ยเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และเป็นการไม่ยึดติดอยู่ในรูป นอกจากนี้ พระมหากัจจายนะยังได้รับการสรรเสริญจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในเรื่องอธิบายเนื้อความย่อให้พิสดาร
สำหรับพระสิวลีนั้น ท่านเป็นเชื้อกษัตริย์มีบุญให้เห็นตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์ คือทำให้พระมารดาอุดมด้วยลาภสักการะตลอดเวลาการตั้งครรภ์ เวลาประสูติก็ประสูติได้โดยง่าย เป็นผู้บรรลุอรหัตน์ตั้งแต่ตอนปลงผมบวช ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกได้เดินทางไปยังเมืองๆหนึ่ง และมาถึงทางสองแพร่ง ซึ่งพระอานนท์ได้กราบทูลกับพระพุทธเจ้าว่า ทางหนึ่งมีระยะใกล้แต่เป็นทางที่มีความกันดารอย่างมาก ส่วนอีกทางเป็นทางไกลกว่าเท่าตัวแต่หนทางสะดวกและอุดมสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า พระสิวลีได้มาพร้อมกันกับเรามิใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นให้ไปตามเส้นทางใกล้เถิด ซึ่งขณะเดินทางก็ได้มีหมู่เทวดาเนรมิตจัดแจงสถานที่และถวายลาภสักการะแก่พระสีวลีซึ่งพระสีวลีก็ได้นำเอาสักการะเหล่านั้นไปถวายแก่หมู่ภิกษุสงฆ์ทำให้มีความสะดวกตลอดการเดินทาง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสิวลีว่าเป็นผู้เป็นเลิสกว่าภิกษุทั้งหลายในเรื่องของลาภสักการะ
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องเป็นพระปิดตา ตรงนี้ผมได้สันนิษฐานว่า พระเกจิอาจารย์ท่านได้สร้างพระปิดตาต่างๆด้วยอุปเทห์ตามแต่วัตถุประสงค์ของการสร้าง ว่าเป็น ปิดตามหาอุตม์ หรือไม่ก็ปิดตามหาลาภหรือปิดตามหาเสน่ห์ ที่เป็นมหาอุตม์ก็คงเกี่ยวกับเนื่องกับเรื่องทางอยู่ยงคงกระพันในการรณรงค์สงคราม อย่างเช่นในเรื่องขุนข้างขุนแผนที่กล่างถึงการสร้างและปลุกพระควัมบดีหรือการสักรูปพระควัมแล้วอาวุธไม่ระคายผิว แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นรูปพระปิดทวารทั้งเก้าหรือไม่ แต่ถ้าคิดในเรื่องของธรรมะปฏิบัติแล้วก็น่าจะเกี่ยวกับการปิดกั้นอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ที่มาถูกต้องกาย) ไม่ให้มากระทบกันเป็นเหตุให้เกิดกิเลส จึงเปรียบเสมือนต้องมีการเอามือหลายๆมือมาปิดทวาร ส่วนที่เป็นพระปิดตาสองตาอยางเดียวนั้นมักมีสรีระที่อ้วน พระนาภีพลุ้ยซึ่งหลายๆคนจะมีความเชื่อในทำนองปิดตามหาลาภบ่งถึงความอุดมสมบูรณ์ดังบุญฤทธิ์ของพระสิวลี หรือถ้าโยงให้เกี่ยวกับเรื่องปิดตามหาเสน่ห์ซึ่งก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของพระมหาสังกัจจายนะ อย่างไรก็แล้วแต่ผมยังไม่เคยอ่านเจอว่าพระสิวลีหรือพระมหาสังกัจจาย์มีการเอามือปิดตาหรือปิดทวาร แต่ถ้าหากพูดถึงพระควัมบดีเฉยๆแล้วควรจะเป็นพระปิดตาตามที่ได้รับรู้ถ่ายทอดกันมาแต่โบราณ และมักจะเน้นไปในเรื่องทางมหาอุตม์ ซึ่งสอดคล้องกับคำแปลที่ว่าพระควัมปติเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวต่อกิเลส คือการปิดทวารกั้นการกระทบกันของอายตนะภายในและนอกเข้าสู่นิโรธสมาบัติและสามารถอธิฐานจิตให้เกิดฤทธิ์ได้ตามต้องการ และเป็นผู้ใช้ฤทธิ์ในการหยุดอุดกระแสน้ำได้ ที่เขียนนี้ผมมีจุดประสงค์เพียงเพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับพระอรหันต์ทั้งสามพระองค์ว่าเป็นคนละองค์กัน ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยครับผม
|