เมื่อวันเสาร์ ที่ ๕ มีนาคม ที่ผ่านมา ตามปฏิทินเมืองไทยใต้ตรงกับวัน ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ตามตำราและความเชื่อของทางไทยใต้เชื่อว่าเป็นวันดีวันงาม วันแข็งและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งหากทำการอันเป็นมงคลโดยเฉพาะสร้างและปลุกเสกพระเครื่อง วัตถุมงคล และเหล่าเครื่องรางของขลังทั้งหลาย จะก่อให้เกิดอิทธิฤทธีเข้มขลังดีแท้
เรียกติดปากกันว่า เสาร์ห้า
และผู้เขียนเคยอ่านผ่านตามาว่า เสาร์ห้าปีนี้เป็นฤกษ์ดี มหาเศรษฐี ในรอบ ๑๐๐ ปี อนุมานเอาว่า หากสร้างพระในวันนี้จะก่อเกิดโชคลาภเงินทองไหลมาเทมาเป็นดั่งมหาเศรษฐี
นี่เป็นความเชื่อจากทางไทยใต้
แต่ทว่า ปักขทืนทางเมืองเหนือล้านนา อันมีเวียงพิงค์เชียงใหม่แก้วเป็นเมืองเค้าเมืองหลัก วันเสาร์ที่ผ่านมา กลับเป็น ออก ๕ ค่ำ เดือน ๗ เหนือ แต่ตำราก็บอกไว้ว่า เป็นวัน อมริสสโชค ก็อนุมานได้ว่า เป็นวันโชคใหญ่โชคหลวง ถือเป็นวันดีวันหนึ่งเช่นกัน
ถึงแม้ทางเมืองเหนือจะไม่มีความเชื่อเรื่องของวัน เสาร์ห้า แต่ทว่าที่ผ่านมาก็ได้รับวัฒนธรรมความเชื่อมาจากทางไทยใต้ จึงเห็นหลายวัดหลายวาจัดสร้างวัตถุมงคล และมีการปลุกเสกกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น
ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและความเชื่ออีกมิติหนึ่งของล้านนา
แต่ก็มิได้เลวร้ายอะไร กลับเป็นเรื่องที่ดี หากไม่มองในมุมแคบจนเกินไป หรือมิใช่
แม้ตัวผู้เขียนเองก็ขอเห่อไปกับเขาด้วย ด้วยนิสัยเป็นคนชอบสร้างพระ อยากจะพอหลายครั้ง แต่ก็หักห้ามใจมิได้ หลายต่อหลายครั้งตั้งใจไว้ว่าจะเป็นการทิ้งทวน แต่ก็ด้วยความเสียดาย จึงได้เก็บมวลสารไว้นิดหน่อย แต่เวลาผ่านไปกลับมีแต่ได้มวลสาร ผงมงคลต่างๆเพิ่มเข้ามาอยู่เรื่อย และผงแต่ละอย่างที่ได้มาก็ล้วนมีคุณมีค่าดั่งของอันมีค่าควรเมือง จึงมีความคิดว่า เสาร์ห้านี้ ขอสร้างพระอีกสักครั้งหนึ่ง
ความคิดนี้เกิดแล่นเข้ามาในสมองอ่องอออันน้อยนิดนี้ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ ๑๘ มีนาคมนี้เอง จึงหมายความว่า เหลือเวลาแค่ วันกว่าๆเท่านั้น
แล้วจะสร้างพระอะไรดี เพื่อจะไว้เป็นอนุสรณ์แห่ง วันเสาร์ห้ามหามงคลในรอบศตวรรษนี้
เลยยกกล่องใบหนึ่งที่ผู้เขียนได้มวลสารอะไรมาก็ยัดๆๆๆลงกล่อง ตรวจค้นดูมวลสารที่มี ดูแล้วก็มีหลากหลาย แต่ไปสดุดฉุกคิดกับผงมวลสารที่อยู่ในขวดแยม ปริมาณประมาณครึ่งขวด จำได้แม่นว่าในขวดนั้นมีส่วนผสมของ หัวเชื้อผงพรายกุมารชนิดเข้มข้นประมาณหนึ่งข้อนิ้ว ของหลวงปู่ทิม อิสริโก รวมๆกับมวลสารจากมูลนิธิหลวงปู่ทิม ที่คุณชินพรเคยให้มามาเนิ่นนานมาแล้ว และผงพระขุนแผนสายหลวงปู่ทิมที่แตกหักจากหลายๆท่านที่มอบให้มา
และเจอกระปุกหนึ่ง เป็นผงพระขุนแผนของครูบาจันต๊ะ วัดหนองช้างคืน ที่กล่าวกันว่าเป็นยอดขุนพลเมืองเหนือ
จึงจุดประกายความคิดได้ว่า เสาร์ห้า นี้แหละเราจะสร้างพระขุนแผน หรือจะเรียกให้สวยหรูวิจิตรพิศดารเอาใจคนชอบความหวือหวาอลังการก็คือ พระซุ้มเรือนแก้วยอดขุนพล
และในเมื่อจะทำอีกทั้งที คราวนี้มีผงอันใด ผู้เขียนตะบี้ตะบันเทใส่ผสมกันให้หมด ไว้เว้น ไม่กั๊กไว้อีกแล้ว จากผงนั้นผงนี้ อย่างละนิดอย่างละหน่อย กลับกลายเป็นได้ผงเยอะพอควร ทั้งยังมีผงมวลสารที่ผู้เขียนได้สร้างพระไว้ทุกรุ่นที่เคยได้สร้างมา ประมาณกระป๋องใส่ลูกอมฮอลล์ บรรจุได้สัก ๑๐๐๐ เม็ด วรรณสีสันออกทางเทาเข้ม นั่นคือมวลสารล้วนๆ ไม่ได้ผสมปูน หรือ ผงอันไม่มีอิทธิฤทธีอื่นใดลงไปเลย
หากจะร่ายยาวถึงรายการผงมงคลต่างๆที่ใส่ลงไปนั้น คงเขียนหนังสือได้สักเล่มหนึ่งกระมั้ง แต่ขอให้เชื่อได้ ว่าผงที่ผสมครั้งนี้ มีคุณมีค่า ไม่น้อยไปกว่าผงอื่นใด และควรค่าที่จะสถาปนาเป็นสารูปแห่งพระพุทธเจ้าได้อย่างสมภาคภูมิ
แต่หากจะไม่บอกเลย ก็ต้องมีหลายท่านบ้างหล่ะ ที่กินแหนงแคลงใจ ผู้เขียนขอลงเป็นเพียงบางรายการ เพื่อเป็นเครื่องจูงใจให้เกิดศรัทธาประสาทะแก่ผู้อ่าน และผู้ที่มีวาสนาได้รับพระชุดนี้ไปครอบครองบูชา
ดังที่กล่าวข้างต้น ผงพรายกุมาร และผงพระขุนแผนสายหลวงปู่ทิม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พระขุนแผนที่กำลังฮอต หายาก ราคาแพง ของเก๊เกลื่อน คงหนีไม่พ้น พระขุนแผนพรายกุมาร หลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ ประสบการณ์เรื่องเล่าเป็นที่เลื่องลือ แม้ผู้เขียนเอง ก็เคยได้พานพบกับบุญบารมีของหลวงปู่ทิมมาแล้ว เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง ผงพรายกุมารของท่าน แน่จริงๆ
ต่อมา ผงพระขุนแผนครูบาจันต๊ะ อนาวีโล วัดหนองช้างคืน เป็นที่กล่าวขานและฮอตมากในท้องถิ่นเมืองเหนือ ด้านเมตตามหานิยมไม่เป็นสองรองใคร และยังมีผงพระขุนแผนอีกหลายสำนัก เช่น หลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงปู่ชื่น วัดตาอี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ครูบาจันทร์แก้ว วัดศรีสว่าง ฯลฯ
มวลสารที่กล่าวมาข้างต้น ก็เข้าตำราที่หลวงพ่ออุตตมะว่าไว้ว่า สร้างอะไร ก็ให้เป็นอันนั้น
ยังมี พระธาตุทรายคำ หรือ ทรายทับทิม อีกจำนวนมาก ผู้เขียนได้ขอเมตตาจาก ครูบาดวงดี วัดบ้านฟ่อน ปลุกเสกให้ ๗ เสาร์ ๗ อังคาร และทั้งในฤกษ์สุริยคราส-จันทรคราส ผู้เขียนว่า คงไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน
ยังมีผงพระมงคลมหาลาภที่แตกหัก พระนางพญาแม่ชีบุญเรือน พระที่หลวงปู่ศุข วัดปากครองมะขามเฒ่าปลุกเสก ผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ ผงพระหลวงพ่อเกษม หลวงปู่สี หลวงพ่อกวย ครูบาพรหมจักร ครูบาวงศ์ ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี ครูบาตั๋น ครูบาจันทร์แก้ว ครูบาบุญมา ครูบาบุญปั๋น ครูบาบุญชุ่ม ครูบาพรชัย อีกมากมายหลายองค์ จนผู้เขียนเองก็จำไม่ได้
และจากสีสันของเนื้อผงมวลสารทั้งหมดออกสีเทาเข้มนั้น ก็เน้นหนักผงอัฐิอังคารธาตุ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ผงเถ้าจากการเผาศพนั่นเอง แต่หากมิใช่จากศพชาวบ้านสามัญชนทั่วไป ที่หลายสำนักเค้าทำกัน แต่ทว่าเป็นผงอังคารของเหล่าพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพุทธพจน์ อาทิ ครูบาเจ้าศรีวิไชย ครูบาพรหมจักร ครูบาคำแสน(สวนดอก) ครูบาคำแสน(ดอนมูล) ครูบาอินสม ครูบาอิน หลวงปู่สิม ครูบาบุญปั๋น ครูบาอิ่นแก้ว ครูบาขันต์ ครูบาแก้ว ครูบาคำ หลวงปู่หนู หลวงปู่จันทร์ และอีกมากมายเหลือคณานับ
แค่ผงอังคารนี้ ก็มีอิทธิฤทธีมากมายพอแล้ว
ผงที่ผสมทั้งหมดนี้ ผู้เขียนขอเรียกรวมๆไปว่า ผงศีลพิลาส ก็แล้วกัน (ตามนามของผู้เสก)
นอกจาก ผงศีลพิลาส แล้ว ผู้เขียนยังได้นำผงอีกอย่างหนึ่งมาผสม เรียกรวมๆว่า ผงยอดมหาเนรปาน ผงนี้ยิ่งมีคุณมีค่าอย่างมหาศาล เอาง่ายๆแล้วกัน หากผู้ใดรู้ว่าตัวผู้เขียนชอบเก็บสะสม กระดูกหรืออัฐิ เส้นเกศา เล็บ โลหิต ของเหล่าพระอริยสงฆ์ครูอาจารย์องค์สำคัญต่างๆไว้หล่ะก็ ขอให้ทราบไว้เลยว่า ผู้เขียนได้นำมาสร้างพระเสียหมดสิ้นแล้ว
มีคำกล่าวที่ว่า เกศาพระอรหันต์เส้นเดียว คุ้มครองคนได้ทั้งบ้าน ผงยอดมหาเนรปาน นี้คุ้มครองได้ทั้งโลก เผลอๆทั้งเอกภพด้วยซ้ำกระมัง ด้วยรวมทั้งอัฐิ เกศา ไว้อย่างมากมาย ผงนี้มีคุณสูงสุดแล้ว
จากรูป จะเห็นได้ว่า นอกจากผงมวลสารอันมากมายมหาศาลที่ผสมคลุกเคล้ากัน ปั้นเป็นองค์พระขึ้นมา ยังมีการบรรจุของสำคัญอีกมากมายลงไป เพื่อสร้างเอกลักษณ์และความเข้มขลังให้แก่พระขุนแผนชุดนี้
ด้านหน้า บรรจุพระธาตุข้าวบิณฑ์ ครูบาชัยยะวงศา วัดพระบาทห้วยต้ม เพื่อเป็นสริมงคล มหามังคละ และในหนึ่ง เพื่อสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ รุ่งเรืองพูนผลจากบารมีแห่งองค์พระธาตุ
บรรจุจีวร พระครูศีลพิลาศ หรือ ครูบาจันทร์แก้ว คนฺธสีโล วัดศรีสว่าง ซึ่งเป็นของมีคุณมีค่าอยู่ในตัวอยู่แล้ว และถือเป็นเอกลักษณ์ให้แก่พระขุนแผนในคราวนี้อีกด้วย
ส่วนที่เห็นเม็ดข้าว กระจายอยู่ด้านหลังพระนั้น บางองค์ก็มีมาก บางองค์ก็น้อย บางองค์ก็เหลือแต่รอยเพราะข้าวได้หลุดไป ก็หาเป็นเพียงข้าวสารหรือข้าวเหลือทั่วไปไม่ หากเป็นข้าวเย็น หรือให้คุ้นหูก็คือ ข้าวก้นบาตรของครูบาจันทร์แก้ว เมื่อคราวเมื่อวัน ๔ เป็ง ครูบาท่านได้ออกบิณฑบาตร และฉันข้าวเหล่านั้น แต่มีบางส่วนที่เหลือ ผู้เขียนจึงขอท่านมาและครูบาท่านก็ปลุกเสกให้พร้อมสรรพ
และที่เห็นเด่นอยู่กลางคือยันต์ หรือ ตะกรุด บอกไว้เลยว่าผู้เขียนเป็นผู้เขียนยันต์เอง ไม่ขอเรียกจาร เพราะไม่ได้มีวิชาความรู้อันใดเลย เพียงแค่เขียนตัวเมืองได้บ้างงูๆปลาๆ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่แผ่นทองแดง แผ่นนี้ไม่ธรรมดา ได้รับการจำหลักจารอักขระและปลุกเสกจาก ครูบาจันทร์แก้ว มาแล้ว แต่ผู้เขียนนำมาตัด และเขียนลงไปว่า สุนะโมโล คือหัวใจขุนแผนนั่นเอง เพียงเพื่อถือเคล็ดที่ว่า ทำอะไรก็ให้เป็นอันนั้น จะทำขุนแผ่น ก็ใส่ยันต์หัวใจขุนแผนลงไป
ก็คงไม่เสียหายอันใด ใช่หรือไม่
แต่มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง จะว่าเป็นความบังเอิน เป็นไปตามธรรมชาติ หรือจะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ข้อหลังนี้ผู้เขียนคิดเอาเอง
คือเมื่อบ่ายวันที่ ๑๘ เมื่อตกลงปลงใจที่จะสร้างพระขุนแผนแล้วนั้น ก็ได้ตระเตรียมมวลสารและทำตะกรุด ตอนนั้นก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ในวันนั้นเวียงพิงค์ร้อนยิ่งกว่าเตาอบ ร้อนแท้ร้อนว่า กินไหนอยู่ไหนก็บ่ม่วนบ่สนุก ขนาดผู้เขียนพักอยู่หอหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ติดดอยสุเทพ ก็ยังร้อนแทบตับแลบ ลมก็ไม่มี แต่พอตกเย็น อยู่ดีๆก็มีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เริ่มมีลม เมฆมืดครึ้มเริ่มลอยมา จากลมเบาๆ กลายเป็นลมแรง พัดเอาต้นไม้แทบโค่น ฟ้าผ่าฟ้าร้องอึกทึกคึกโคม ปราณประหนึ่งจะถล่มลงมาเสียให้ได้ ไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง ดับไปตั้งนานแล้ว ในความสลัวๆ ยิ่งทำให้มองเห็นฟ้าผ่าได้อย่างชัดเจน ชัดมากจนเห็นเป็นเส้นๆ ได้ยินเสียงเมื่อสายฟ้าวิ่งผ่าอากาศธาตุลงมาสู่ผืนพสุธา
ดูแล้ว คงห่างออกไปไม่ไกล ใครไปโดนเข้าคงไม่เหลือชิ้นดีแน่
จะด้วยความบังเอิญหรือสิ่งใดไม่รู้ ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ฟ้าจะถล่มอยู่นั้น ก็เป็นเวลาที่ทำตะกรุดอยู่เช่นกัน จะเกี่ยวกันหรือไม่ ผู้เขียนก็มิทราบได้
นี่เป็นเหตุการณ์วันทำตะกรุด ตะกรุดที่ฝังชุดนี้ น่าจะชื่อ ตะกรุดขุนแผนฟ้าผ่า ก็คงจะเข้าท่าไม่เบา
เมื่อมวลสารพร้อม ต่อมาคือพิมพ์พระ และผู้กด แรกๆหนักใจมิใช่น้อย แต่ก็ด้วยธรรมจัดสรร จำได้สำเร็จ
ด้วยระยะเวลาเพียงวันกว่าๆ ถือเป็นความจำกัดด้านเวลาที่ด่วนยิ่ง แต่ด้วยพอมีเส้นสายอยู่บ้าง จึงได้ไปขอให้บ้านทำพระที่เชียงใหม่ช่วยทำให้ และขอเร่งว่า ด่วนที่สุด เพราะกว่าจะติดต่อขอได้ ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ของวันที่ ๑๙ เข้าไปแล้ว เวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ผู้เขียนไปบอกเขา ช่างเขาว่าทำได้ ไม่มีปัญหา แต่พรุ่งนี้พระจะยังไม่แห้งสนิท ผู้เขียนจึงบอกให้เริ่มทำได้เลย และนั่งดูไปด้วย มิใช่อะไรหรอก กลัวเขาไม่ใส่มหามวลสารอันสำคัญครั้งนี้
จริงๆนะ พวกนี้ชอบจิ๊กมวลสาร ไม่รู้จะเอาไปเก็บทำไมกันนักกันหนา เซ็งจริงๆเมื่อเจอแบบนี้
ช่างก็ไปหยิบกาวลาเทค ถุงพลาสติก และพิมพ์ขุนแผนแขนอ่อนมา ละเลงผงมวลสาร กาว และน้ำมันงาเสกของผู้เขียน ขะยี้ขยำผงให้เข้ากับตัวประสารพอปั้นได้ ก็กดพิมพ์ ผู้เขียนเห็นแล้วก็ถามไปว่า ง่ายขนาดนี้เลยหรือ ช่างว่า งานด่วนแบบนี้ สูตรนี้แหละเร็วดี แต่ใจจริงผู้เขียนอยากได้สูตรปูนตำมากกว่า แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะงานด่วนจริงๆ และขอเพียงว่า ว่าอย่าเอาไปแช่น้ำ หรือ โดนน้ำก็แล้วกัน
แต่ก็มีส่วนดี หากไม่ใจแคบที่จะมอง คือไม่ต้องใส่ปูน พระชุดนี้คือมวลสารล้วนๆ มีเพียงกาวลาเทคเท่านั้นไม่ได้เสก วิเศษสมชื่อวิลาสไปอีกแบบ
แต่ก็ช่างจะแสนบังเอิน เมื่อห้วงเวลาตอนกดพิมพ์พระนั้น ก็ได้เกิดเหตุการณ์ฟ้าถล่มเหมือนเมื่อวานอีกเป็นครั้งที่สอง มันก็น่าแปลกดี จะด้วยเหตุผลอันใด ผู้เขียนก็คิดเหมือนเมื่อเหตุการณ์วันวาน
มันก็แปลกดีนะเออ
ถือได้ว่า ปฏิบัติการครั้งนี้สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว เหลือก็แต่เพียงการปลุกเสกในฤกษ์เสาร์ห้าเท่านั้น
เมื่อองค์พระซุ้มเรือนแก้วยอดขุนพลได้สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นองค์แล้ว ได้จำนวน ๑๐๘ องค์ ตามกำลังของพระรัตนตรัยอันประเสริฐ ก็ถึงคราวที่จะหาพระสังฆเจ้าผู้ที่จะมาอธิษฐานจิตปลุกเสกพระขุนแผนนี้ในฤกษ์วันดีวันงามเสาร์ห้าที่พุทธศักราชนี้
ก็ในเมื่อพระตระกูลขุนแผนล้วนมีพุทธคุณด้าน เมตตา มหานิยม เป็นที่ชื่นชม มีแต่คนรักใคร พระผู้ที่จะปลุกเสก ก็สมควรที่ผู้เสกจะเป็นที่ศรัทธาของสาธุชนทั้งหลาย มีเมตตาธรรมบารมีเป็นอย่างสูง
เท่าที่ผู้เขียนเคยแวะเวียนไปกราบมา ก็เห็นจะมีแต่
พระครูศีลพิลาส หรือ ครูบาจันทร์แก้ว คนฺธสีโล เจ้าอารามธิบดีแห่งวัดศรีสว่าง(วัวลาย) ต.บ้านกวน อ.หางดง จ.เชียงใหม่
พระผู้เฒ่าที่อายุอานามปาเข้าไปที่ ๙๔ ปี เมื่อไม่แค่กี่วันก่อน ท่านสมเป็นพระอริยสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือที่เรียกว่า สุปฏิปันโน อย่างแท้จริง ครูบาท่านมีความเมตตาหาที่สุดมิได้ บารมีธรรมของท่านได้แผ่ส้าน ผู้ที่แวะเวียนไปไหว้สาย่อมรู้ดี ว่าเมตตาบารมีธรรมของท่านนั้น เย็นแค่ไหน
อยากรู้ ท่านต้องไปกราบครูบาสักครั้ง
เมื่อพระพร้อม องค์เสกพร้อม ก็ก่อกำเนิด พระซุ้มเรือนแก้วยอดขุนพลศีลพิลาส
การณ์ครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดาสามัญอีกเช่นเคย แม้จะเป็นการสร้างพระเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีความพิเศษ การปลุกเสกเดี่ยวจาก ครูบาจันทร์แก้ว เพราะตามปกติสามัญเสกครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่วันเสาร์ห้าที่ผ่านมา ได้เกิดความบังเอิญหรือโชคชะตาให้วกเข้าไปหาท่านอีกครั้ง และท่านก็เสกให้เป็นวาระที่สอง
เสกสองครั้ง ในวันเสาร์ห้า สุดยอด!!!
พระขุนแผนชุดนี้ เชื่อเหลือเกินว่า พุทธคุณสามารถปกห่มบ่มเกล้าเกศาท่านที่นำไปสัการะบูชาได้แน่นอน แค่มวลสารก็กินขาด ไหนจะได้ ครูบาจันทร์แก้ว เป็นผู้อธิฐานประจุพุทธคุณ ในฤกษ์วันเสาร์ห้ามหาเศรษฐี หนึ่งเดียวในรอบศตวรรษ พุทธคุณจะดีเลิศ และจะ พิลึกวิลาส ปานใดหนอ
อันตัวผู้เขียนเองก็ไม่ได้เป็นคนเคร่งสมาธิ มีสัมผัสมิติอื่นอันนอกเหนือจาก ๓มิติ ที่สามารถดูได้ตามโรงภาพยนต์เท่านั้น เลยไม่สามารถจับพลังและแยกแยะพุทธคุณในพระได้
จะเป็นอย่างไร ท่านๆก็ควรจะรับรู้ด้วยตัวเอง
แต่อย่างไรเสีย หากปราศจากความศรัทธา มีความเชื่อมั่นในองค์พระนั้นเสียแล้ว ห้อยไปก็หนักคอปล่าวๆ
ในทางกลับกัน หากมีความศรัทธาในองค์พระ ผู้ปลุกเสก แล้วไซ้ ย่อมก่อเกิดปาฏิหารย์มากมาย
เมื่อศรัทธามี ปาฏิหารย์ย่อมเกิด
สวัสดี...สายครูบา
โต้ง สายครูบา 084-1762111